amazon

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เลิกบุหรี่ด้วยบันได 8 ขั้น


การเลิกบุหรี่ต้องอาศัยกำลังใจ ความเข้มแข็ง และตั้งใจจริง ถ้าคุณเป็นผู้หนึ่งที่คิดจะเลิกบุหรี่วันไหนก็แล้ว แต่ ที่ถือเป็นวันดีสำหรับคุณ ลองปฏิบัติตามข้อแนะนำต่อไปนี้ เพราะจะช่วยให้คุณไม่หวนกลับไปหาบุหรี่อีกเลย

1. ทิ้งบุหรี่ที่มีอยู่ให้หมด หาให้ทั่วว่าซุกซ่อนบุหรี่ไว้ที่ไหนบ้าง พบแล้วโยนทิ้งให้หมดไม่เหลือแม้กระทั่งมวนเดียว ไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหนก็อย่าเสียดายเป็นอันขาด
2. ที่เขี่ยบุหรี่ก็ทิ้งไปด้วย กรณีที่เสียดายเพราะเป็นเครื่องตกแต่งราคาแพง อาจจะยกให้คนอื่นไป หรือนำไปเก็บไว้ในที่ที่คุณแน่ใจว่าจะไม่มองเห็นหรือหยิบออกมาได้โดยง่าย
3. เปลี่ยนทรงผม จะได้ดูว่าเรากำลังจะเป็นคนใหม่
4. ทำความสะอาดบ้านและเครื่องเรือนทั้งหมด รวมทั้งเสื้อผ้าก็นำมาซักให้สะอาด ให้กลิ่นบุหรี่หมดไป จริงอยู่คนสูบบุหรี่จะไม่ได้กลิ่นเหล่านี้หรอก เพราะความเคยชิน แต่เมื่อเลิกแล้ว คุณจะได้กลิ่นบุหรี่

5. ดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพราะจะ ช่วยชำระล้างนิโคตินออกจากร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการอยากบุหรี่ได้ด้วย
6. ลดปริมาณสารกาเฟอีนในชาและกาแฟ โดยก่อนการเลิกบุหรี่จะต้อง พยายามลดปริมาณสารกาเฟอีนนี้ให้ได้ประมาณครึ่งหนึ่งของที่เคยดื่มในแต่ละวัน
7. ออกกำลังกาย เพราะนอกจาก จะทำให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงแล้ว ยังช่วยให้เราเอาใจออกห่างจากบุหรี่ได้ด้วย
8. หาเพื่อนที่มีความต้องการจะเลิกบุหรี่ด้วยกันสักคน แล้วเลิกพร้อมกันเพื่อที่จะได้เป็นที่ปรึกษา คอยเตือนและคอยให้กำลังใจกัน หรืออาจจะเป็น การหาแรงบันดาลใจอื่น เช่น เลิกเพื่อลูก เลิกเพื่อบิดามารดา หรือคนรักก็ได้

ไส้เลื่อน



ไส้เลื่อนหมายถึงภาวะที่มีลำไส้บางส่วนไหลเลื่อนออกมาตุงอยู่ที่ผนังหน้าท้อง ทำให้เห็นเป็นก้อนบวมตรงบริเวณใดบริเวณหนึ่งของผนังหน้าท้อง

ไส้เลื่อนมีอยู่หลายชนิด ซึ่งจะมีอาการแสดงภาวะแทรกซ้อน และการรักษาแตกต่างกันไป ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น

ไส้เลื่อนส่วนใหญ่จะเห็นเป็นก้อนตุงตรงผนังหน้าท้องหรือขาหนีบ ซึ่งจะบวมๆ ยุบๆ (โผล่ๆ ผลุบๆ) มักจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่ถ้าปล่อยให้เกิดการติดคา ไม่ยุบก็อาจเกิดอันตรายร้ายแรงได้

* ชื่อภาษาไทย ไส้เลื่อน
* ชื่อภาษาอังกฤษ Hernia
* สาเหตุ
เกิดจากผนังหน้าท้องบางจุดมีความอ่อนแอ (หย่อน) ผิดปกติ ส่วนมากเป็นความผิดปกติที่เป็นมาแต่กำเนิด ทำให้ลำไส้ที่อยู่ข้างใต้ไหลเลื่อนทะลักเข้าไปในบริเวณนั้น เห็นเป็นก้อนตุง ส่วนน้อยที่เป็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายหลัง (เช่น แผลผ่าตัดที่หน้าท้อง)
ไส้เลื่อนมีอยู่หลายชนิด ที่พบบ่อยได้แก่
- ไส้เลื่อนที่สะดือ (umbilical hernia) ที่เรียกกันว่าสะดือจุ่น มักจะมีอาการมาตั้งแต่แรกเกิด และหายได้เองก่อนอายุ 2 ขวบ
- ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ (inguinal hernia) ผู้ป่วยจะมีหน้าท้องที่บริเวณขาหนีบอ่อนแอผิดปกติมาแต่กำเนิด แต่จะปรากฏอาการไส้เลื่อนเมื่อย่างเข้าวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคน หรือเมื่อเป็นโรคไอเรื้อรัง เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ถุงลมปอดโป่งพอง ไส้เลื่อนชนิดนี้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตามมาได้
- ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด (incisional hernia) เป็นไส้เลื่อนที่เกิดหลังได้รับการผ่าตัดช่องท้อง เมื่อแผลหายแล้ว ผนังหน้าท้องในบริเวณผ่าตัด เกิดหย่อนกว่าปกติ ทำให้ลำไส้ไหลทะลักเป็นก้อนโป่งที่บริเวณนั้น
 
                 ตำแหน่งที่เป็นไส้เลื่อน                                              ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ
     

* อาการ
- สะดือจุ่น ทารกจะมีอาการสะดือจุ่น หรือสะดือโป่งเวลาร้องไห้ ซึ่งจะเป็นมาแต่แรกเกิด โดยไม่มีความผิดปกติอื่นๆ
- ไส้เลื่อนที่ขาหนีบ ผู้ป่วยจะสังเกตเห็นมีก้อนตุงที่บริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ ซึ่งจะเห็นชัดขณะลุกขึ้นยืน หรือเวลายกของหนัก ไอ จาม หรือเบ่งถ่าย เวลานอนหงายก้อนจะยุบหายไป เมื่อคลำดูจะพบว่าก้อนมีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ โดยไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
อาการมีก้อนตุงโผล่ๆ ผลุบๆ แบบนี้มักจะเป็นอยู่นานเป็นแรมปี สิบๆ ปีหรือตลอดชีวิต แต่ถ้ามีภาวะไส้เลื่อนติดคาอยู่ที่ผนังหน้าท้อง ก็จะกลายเป็นก้อนตุง ไม่ยุบหาย และจะมีอาการเจ็บปวดที่ท้อง ปวดท้อง อาเจียนตามมา ซึ่งถือว่าเป็นภาวะแทรกซ้อนของไส้เลื่อน
- ไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด ก่อนผ่าตัดผู้ป่วยไม่มีก้อนตุงที่หน้าท้อง แต่หลังผ่าตัด (อาจนานเป็นแรมเดือน หรือแรมปี ต่อมาก็พบว่าบริเวณใกล้ๆ รอบแผลผ่าตัด จะมีก้อนตุงขนาดใหญ่ ไม่มีอาการเจ็บปวด โดยเฉพาะจะเห็นชัดในท่ายืนหรือนั่ง แต่เวลานอนก้อนจะเล็กลงหรือยุบลง อาการจะเป็นเรื้อรังจนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข

* การแยกโรค
ก้อนที่บริเวณหน้าท้อง อาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- ก้อนฝี ซึ่งจะมีอาการปวดบวมแดงร้อน แตะถูกเจ็บ และไม่ยุบหายเวลานอนหงาย
- ก้อนเนื้องอก มักจะเป็นก้อนแข็ง ไม่ยุบ แตะถูกไม่เจ็บ
ส่วนก้อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ นอกจากก้อน ฝีและก้อนเนื้องอกแล้ว ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น
- โรคฝีมะม่วง ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่ง มีลักษณะบวมแดงร้อน
- ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ ถ้าเป็นเฉียบพลันจะมีลักษณะเป็นก้อนแข็ง ปวด แดงร้อน ถ้าเป็นเรื้อรัง มักจะเป็นก้อนแข็ง ไม่เจ็บ ไม่ยุบ
- ถุงน้ำที่ถุงอัณฑะหรือกล่อนน้ำ (hydrocele) มีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม คล้ายลูกโป่งใส่น้ำ ไม่เจ็บ ไม่ยุบ เวลาใช้ไฟฉายส่องจะเห็นโปร่งใส มักพบในเด็กเล็ก ตั้งแต่แรกเกิด ส่วนน้อยอาจพบตอนโตแล้ว (ภายหลังได้รับบาดเจ็บหรือเกิดการอักเสบที่ถุงอัณฑะ)
- อัณฑะบิดตัว (testicular torsion) เกิดจากพัฒนาการที่ผิดปกติของสายรั้งอัณฑะ (spermatic cord) และเนื้อเยื่อที่ปกคลุมอัณฑะ ทำให้ถุงอัณฑะหลวมกว่าปกติ อัณฑะสามารถบิดหมุนรอบตัวเมื่ออายุมากขึ้นได้ มีอาการปวดอัณฑะรุนแรง ตรวจพบเป็นก้อนบวม แตะถูกเจ็บ ไม่ยุบ

* การวินิจฉัยแพทย์จะวินิจฉัยโรคไส้เลื่อนจากอาการแสดงและสิ่งตรวจพบ ได้แก่ อาการมีก้อนตุงโผล่ๆ ผลุบๆ ก้อนมีลักษณะนุ่มๆ หยุ่นๆ ไม่เจ็บ
ในรายที่ไม่แน่ใจ แพทย์อาจส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์ อัลตราซาวนด์ เป็นต้น

* การดูแลตนเองถ้าพบว่ามีก้อนตุงที่บริเวณใดบริเวณหนึ่งของผนังหน้าท้อง รวมทั้งบริเวณขาหนีบและอัณฑะ ก็ควรจะไปปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด
แต่ถ้าก้อนนั้นมีลักษณะแข็ง โตขึ้น แดงร้อนหรือเจ็บปวด หรือมีอาการปวดท้อง หรืออาเจียนร่วมด้วย ก็ควรจะรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว
ในกรณีที่เป็นไส้เลื่อน แพทย์อาจแนะนำให้รับการรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นไส้เลื่อนขนาดใหญ่ หรือขึ้นตรงบริเวณขาหนีบหรือถุงอัณฑะ
หลังจากแผลผ่าตัดหายดีแล้ว ก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เช่นคนปกติทั่วไป

* การรักษาการรักษาขึ้นกับชนิดและความรุนแรงของไส้เลื่อน
ถ้าทารกเป็นสะดือจุ่น ส่วนใหญ่แพทย์จะไม่ทำอะไร ซึ่งมักจะค่อยๆ ยุบหายไปได้เอง ยกเว้นในรายที่ก้อนโตมาก ให้ใช้ผ้าพันรอบเอวกดสะดือที่จุ่นไว้ไม่ให้ลำไส้ไหลเลื่อนลงมา รอจนอายุ 2 ขวบ ถ้ายังไม่หายอาจต้องผ่าตัด
ถ้าเป็นไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด ถ้าก้อนไม่โตมาก และไม่มีอาการอะไร แพทย์ก็อาจให้เฝ้าดูอาการไปเรื่อยๆ แต่ถ้าก้อนโตมาก หรือมีอาการปวดท้อง ก็อาจต้องแก้ไขด้วยการผ่าตัด
ส่วนไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ แพทย์มักจะแนะนำให้รักษาด้วยการผ่าตัด โดยนัดทำในเวลาที่เหมาะสม อาจรอได้นานเป็นแรมปี
ในรายที่เป็นไส้เลื่อนชนิดติดคา (ก้อนไส้เลื่อนที่เคยโผล่ๆ ผลุบๆ มีอาการโผล่ไม่ผลุบ (ยุบ) เป็นก้อนแข็งและเจ็บปวดมาก และถ้ามีภาวะลำไส้อุดกั้นก็อาจมีอาการปวดท้อง อาเจียนร่วมด้วย แพทย์จะต้องรีบทำการผ่าตัดแบบฉุกเฉิน เพื่อป้องกันไม่ให้ลำไส้เน่า
 
                                                                   ไส้เลื่อนชนิดถูกบีบรัด
                                                 

* ภาวะแทรกซ้อน
อาจพบในผู้ป่วยที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ บางครั้งลำไส้อาจติดคาที่ผนังหน้าท้อง ไม่สามารถไหลกลับเข้าช่องท้องได้ดังเดิม เรียกว่าไส้เลื่อนชนิดติดคา ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะลำไส้อุดกั้น มีอาการปวดท้อง อาเจียนได้ และถ้าปล่อยทิ้งไว้ ลำไส้ที่ติดคาจะถูกบีบรัดจนขาดเลือดลำไส้เน่าได้ ซึ่งอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้

* การดำเนินโรค
สำหรับสะดือจุ่นที่พบในทารก ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองภายในอายุ 2 ขวบ
ส่วนไส้เลื่อนที่ขาหนีบและไส้เลื่อนที่เกิดหลังผ่าตัด มักจะเป็นเรื้อรัง จนกว่าจะได้รับการผ่าตัดแก้ไข
ในรายที่เป็นไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะ หากปล่อยทิ้งไว้นานๆ อาจเกิดภาวะไส้เลื่อนติดคาแทรกซ้อนได้

* การป้องกัน
โรคนี้ยังไม่มีวิธีป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น
ส่วนไส้เลื่อนที่ขาหนีบหรือถุงอัณฑะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ด้วยการผ่าตัดแก้ไขเสียแต่เนิ่นๆ

* ความชุกไส้เลื่อนที่ขาหนีบพบได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากร พบได้บ่อยในเด็กโตและผู้ใหญ่ และพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเป็นสิบๆ เท่า

นิ้วล็อก







นิ้วล็อก หมายถึง อาการที่งอข้อนิ้วมือ  แล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้เหมือนถูกล็อก  เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ   เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้ 

ชื่อภาษาไทย นิ้วล็อก, ปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมืออักเสบ
ชื่อภาษาอังกฤษ Trigger finger, Digital flexer  tenosynvitis,  Stenosing tenosynvits
สาเหตุเกิดจากการอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นที่ใช้ในการงอข้อนิ้วมือ ซึ่งอยู่ตรงบริเวณโคนนิ้วมือ ทำให้เส้นเอ็นหนาตัวขึ้น และติดขัดในการเคลื่อนไหวขณะเหยียดนิ้วมือ เมื่ออักเสบรุนแรงมากขึ้นจะเกิดปุ่มตรงเส้นเอ็น เวลางอนิ้วมือปุ่มจะอยู่นอกปลอกหุ้ม แต่ไม่สามารถเคลื่อนเข้าปลอกหุ้ม เวลาเหยียดนิ้วมือกลับไป  ทำให้เกิดอาการนิ้วล็อกอยู่ในท่างอ ต้องออกแรงช่วยใน การเหยียด จึงจะสามารถฝืนให้ปุ่มเคลื่อนที่ผ่านปลอกหุ้มเข้าไปได้

การอักเสบของเส้นเอ็นและปลอกหุ้มเอ็นนิ้วมือมักเกิดจากแรงกดหรือเสียดสีของเส้นเอ็นซ้ำซาก หรือใช้งานฝ่ามือมากเกินไป เช่น การใช้มือหยิบจับอุปกรณ์ในการทำงานบ้าน ทำสวน ขุดดิน  เล่นกีฬา เล่นดนตรี  เป็นต้น โรคนี้จึงพบบ่อยในกลุ่มแม่บ้าน เลขานุการที่พิมพ์ดีดบ่อยๆ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬา (เช่น กอล์ฟ เทนนิส)  หรือเล่นดนตรี (เช่น ไวโอลิน) นอกจากนี้ยังพบในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อรูมาตอยด์  เบาหวาน ภาวะขาดไทรอยด์
   
อาการระยะแรกมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัดโดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักหนึ่งก็จะกำมือได้ดีขึ้น บางคนจะสังเกตว่าเวลางอแล้วเหยียดนิ้วมือจะได้ยินเสียงดังกิ๊ก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อกคือ เวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน นิ้วที่เป็นบ่อยได้แก่ นิ้วหัวแม่มือ นิ้วกลาง และนิ้วนาง อาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ และอาจเป็นที่มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างก็ได้ อาการมักจะเป็นมากตอนเช้า

การแยกโรค
อาการนิ้วงอ เหยียดขึ้นไม่ได้ อาจจะเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เส้นเอ็นนิ้วมือฉีกขาดจากการบาดเจ็บ (ซึ่งมักเกิดขึ้นฉับพลันหลังได้รับบาดเจ็บ) การดึงรั้งของพังผืด  (เช่น ผู้ที่มีบาดแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกที่นิ้วมือ) ความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ (เช่น  Dupuytren's contracture) เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม  ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางแก้ไข
   
การวินิจฉัย
แพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก และการตรวจร่างกายอาจตรวจพบว่าเมื่อใช้มือกดตรงโคนนิ้วมือ ตรงปุ่มกระดูกจะรู้สึกเจ็บ และบางคนอาจคลำได้ปุ่มเส้นเอ็นที่อักเสบ
   
การดูแลตนเองหากมีอาการเจ็บตรงโคนนิ้วมือ เวลางอนิ้วมือแล้ว เหยียดนิ้วมีเสียงดังกิ๊ก หรือเวลางอนิ้วมือแล้วเหยียดขึ้น เองไม่ได้ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อให้การตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อพบว่าเป็นโรคนิ้วล็อก ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และควรปฏิบัติดังนี้
  • ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วที่เป็นนิ้วล็อกเล่น  อาจทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากขึ้นได้
  • ถ้ามีอาการข้อฝืด กำไม่ถนัดตอนเช้า ควรแช่น้ำอุ่นจัดๆ และบริหารโดยการขยับมือกำแบเบาๆ ในน้ำ จะทำให้นิ้วมือเคลื่อนไหวได้คล่องขึ้น
  • เมื่อต้องกำหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น ไม้กอล์ฟ  ตะหลิวผัดกับข้าว ควรใช้ผ้าหรือฟองน้ำพันรอบๆ หรือใช้ถุงมือจับจะช่วยลดแรงกดหรือเสียดสีลง
   
การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาตามความรุนแรงของโรค ในระยะแรก อาจให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์  เพื่อบรรเทาปวดและลดการอักเสบ การทำกายภาพ- บำบัด หรือฉีดยาสตีรอยด์เข้าไปที่เส้นเอ็นที่อักเสบ ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้การรักษาตั้งแต่เริ่มมีอาการใหม่ๆ ถ้าไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการใช้เครื่องมือสะกิดส่วนของพังผืดที่หนาตัวออกไป (โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ไม่ต้องเข้าห้องผ่าตัด จะมีแผลเป็นรูเล็กๆ ตรงตำแหน่งที่เจาะ) ถ้ายังไม่ได้ผลอาจต้องทำการผ่าตัดแก้ไข
   
ภาวะแทรกซ้อน
ไม่มีภาวะแทรกซ้อนอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด  นอกจากทำให้มีอาการเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด
   
การดำเนินโรค
ถ้าไม่ได้รับการรักษาก็จะเป็นเรื้อรัง  และข้อฝืดมากขึ้น
ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะหายได้
   
การป้องกันหลีกเลี่ยงการใช้มือทำงานที่มีลักษณะทำให้เกิดแรงกดหรือเสียดสีกับเส้นเอ็นแบบซ้ำซาก
  • การหิ้วของหนักๆ เช่น ถุงหนักๆ  ถังแก๊ส  ถังน้ำ  กระเป๋า (ควรใช้รถเข็นลาก  หรือใส่ถุงมือ)
  • การซักผ้า  บิดผ้า (ควรใช้เครื่องซักผ้าแทน)
  • เวลากำหรือจับอุปกรณ์ต่างๆ ควรใส่ถุงมือลดแรงกดหรือเสียดสี เช่น ใส่ถุงมือเวลาจับไม้ตีกอล์ฟ  กรรไกรตัดกิ่งไม้ มีดตัดต้นไม่หรือดายหญ้า
   
ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย  โดยเฉพาะในผู้ที่ทำงานที่ต้องหยิบจับสิ่งของหรืออุปกรณ์อย่างต่อเนื่องนานๆ  หรือใช้มือหิ้วของหนักๆ 

โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

หลอดเลือดหัวใจ (coronary artery) เป็นหลอดเลือดแดง นำเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ซึ่งประกอบด้วย กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆ เพื่อให้หัวใจสามารถทำหน้าที่ได้เป็นปกติ
                        
ถ้าหลอดเลือดหัวใจเกิดการตีบตันจะทำให้หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง หากเกิดขึ้นเพียงชั่วครั้งชั่วคราวจะมีอาการเจ็บหน้าอกเพียงชั่วขณะ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ เวลามีสาเหตุกระตุ้นให้กำเริบ แต่ถ้าเกิดมีลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจจะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันได้ ซึ่งเป็นภาวะที่อาจมีอันตรายร้ายแรง
โรคนี้ป้องกันได้ด้วยการดูแลปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันเรื่องอาหาร ออกกำลังกาย อารมณ์ และหลีกเลี่ยงอบายมุขหรือการเสพสิ่งที่เป็นอันตราย

►  ชื่อภาษาไทย
 โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดโคโรนารี

► ชื่อภาษาอังกฤษ
 Ischemic heart disease (IHD), Coronary heart disease (CHD)

► สาเหตุ
 เกิดจากผนังหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัว (atherosclerosis)* เนื่องจากมีไขมันเกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือด เรียกว่า "ตะกรันท่อหลอดเลือด (artherosclerotic plaque)" ซึ่งค่อยๆ พอกหนาตัวขึ้นทีละน้อย ทำให้ช่องทางเดินของเลือดตีบแคบลง เลือดไปเลี้ยงหัวใจ (อันประกอบด้วยกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่ออื่นๆ) ได้น้อยลง

ในขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจต้องการออกซิเจนมากขึ้นในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ (เช่น การออกแรงมากๆ ในการทำงานหรือเคลื่อนไหวร่างกาย การมีอารมณ์รุนแรง ความเครียด) หรือในขณะที่มีออกซิเจนไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจน้อยลง (เช่น หลอดเลือดหดตัวขณะสูบบุหรี่ หรือมีความเครียด หลังกินข้าวอิ่มจัด ซึ่งเลือดไปเลี้ยงกระเพาะอาหารจำนวนมาก เสียเลือดหรือโลหิตจาง) ก็จะเกิดอาการเจ็บหน้าอกเนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงชั่วขณะ เมื่อขจัดเหตุปัจจัยดังกล่าวออกไป (เช่น หยุดการใช้แรง หยุดสูบบุหรี่) อาการเจ็บหน้าอกจะทุเลาไปได้เอง เรียกภาวะดังกล่าวนี้ว่า "โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ (angina pectoris)"
                  
 * ภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัว (atherosclerosis) เกิดจากผนังหลอดเลือดเสื่อมตามอายุขัย (พบในผู้ชายอายุมากกว่า ๕๕ ปี หรือผู้หญิงอายุมากกว่า ๖๕ ปี) หรือเกิดจากโรคประจำตัวที่เป็นมานาน (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน) หรือพฤติกรรม (สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย)
ภาวะนี้เกิดกับหลอดเลือดแดงทั่วทุกส่วนของร่างกาย ซึ่งจะค่อยๆ เป็นมากขึ้นทีละน้อยจนกระทั่งขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญๆ ได้แก่ หัวใจ (กลายเป็นโรคหัวใจขาดเลือด) สมอง (อัมพาต อัมพฤกษ์ สมองเสื่อม) ไต (ไตวาย) ตา (ประสาทตาเสื่อม ทำให้ตามัว ตาบอด) ขา (ชา เป็นตะคริว ปวดน่องเวลาเดินมากๆ) องคชาต (องคชาตไม่แข็งตัว หรือ "นกเขาไม่ขัน") 
ถ้าปล่อยไว้นานๆ ตะกรันท่อหลอดเลือดที่เกาะอยู่ภายในผนังหลอดเลือดหัวใจเกิดการฉีกขาดหรือแตก เกล็ดเลือดก็จะจับตัวเป็นลิ่มเลือด อุดกั้นช่องทางเดินเลือด ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอยู่เป็นเวลานาน จนเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจตาย เกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉิน เป็นอันตรายถึงชีวิตอย่างเฉียบพลันได้ เรียกว่า "โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (acute myocardial information)"
ปัจจุบันพบว่าปัจจัยที่ทำให้คนเราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่สำคัญ ได้แก่
อายุ มากกว่าหรือเท่ากับ ๕๕ ปีในผู้ชาย หรือมากกว่าหรือเท่ากับ  ๖๕ ปีในผู้หญิง
 การมีประวัติโรคหัวใจและหลอดเลือดในครอบครัวที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควร (< ๕๕ ปีในผู้ชาย หรือ < ๖๕ ปีในผู้หญิง)
 ความดันเลือดสูง
 เบาหวาน
 ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ
 อ้วน (ดัชนีมวลกาย มากกว่าหรือเท่ากับ  ๓๐ กิโลกรัมต่อเมตร๒)
ภาวะมีสารไข่ขาวในปัสสาวะ (มากกว่าหรือเท่ากับ  ๓๐ มิลลิกรัมต่อวัน)
 การสูบบุหรี่
 การขาดการออกกำลังกาย
ความเครียด
นอกจากนี้ โรคหัวใจขาดเลือดยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นที่พบไม่บ่อย เช่น ภาวะโฮโมซิสตีนในเลือดสูง การติดเชื้อหรือการอักเสบของหลอดเลือดหัวใจ การหดเกร็งของหลอดเลือดหัวใจ หลอดเลือดหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด การบาดเจ็บ ยาเสพติด (โคเคน ยาบ้าหรือแอมเฟตามีน ซึ่งทำให้หลอดเลือดหัวใจหดเกร็งรุนแรง) เป็นต้น


► อาการ

♦ ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ จะมีอาการปวดเค้นคล้ายมีอะไรกดทับหรือจุกแน่นบริเวณกลางหน้าอกหรือยอดอก ซึ่งมักจะเจ็บร้าวมาที่ไหล่ซ้ายด้านในของแขนซ้าย บางรายอาจร้าวมาที่คอ ขากรรไกรหลัง หรือแขนขวา
บางรายอาจรู้สึกจุกแน่นที่ใต้ลิ้นปี่ คล้ายอาการอาหารไม่ย่อยหรือท้องอืดเฟ้อ
ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเป็นบางครั้งบางคราวเวลาออกแรงมากๆ (เช่น ยกของหนัก เดินขึ้นที่สูง ออกกำลังแรงๆ ทำงานหนักๆ แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน) มีอารมณ์โกรธ ตื่นเต้น ตกใจ เสียใจ หรือจิตใจเคร่งเครียด ขณะร่วมเพศ หลังกินข้าวอิ่มจัด ขณะสูบบุหรี่ หรือเวลาถูกอากาศเย็นๆ 
                                     

ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง เป็นไข้ หรือหัวใจเต้นเร็ว (เช่น หลังดื่มกาแฟ หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคคอพอกเป็นพิษ) ก็อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคนี้ได้
อาการเจ็บหน้าอกมักจะเป็นอยู่นาน ๒-๓ นาที (มักไม่เกิน ๑๐-๑๕ นาที) แล้วหายไปเมื่อได้พักหรือหยุดกระทำสิ่งที่เป็นสาเหตุชักนำ หรือหลังจากได้อมยาขยายหลอดเลือด (เช่น ไนโตรกลีเซอรีน)
นอกจากนี้ ขณะมีอาการเจ็บหน้าอก ผู้ป่วยอาจมีอาการใจสั่น เหนื่อยหอบ เหงื่อออก เวียนศีรษะ คลื่นไส้ร่วมด้วย
ผู้ป่วยที่มีความรู้สึกเจ็บหน้าอกแบบแปลบๆ เวลาหายใจเข้าลึกๆ ไอ หรือจาม หรือเจ็บเวลาก้มหรือเอี้ยวตัว หรือกดถูกเจ็บ หรือรู้สึกเจ็บทั่วหน้าอกอยู่เรื่อยๆ โดยที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดีและเวลาออกกำลังกายหรือทำอะไรเพลินๆ หายเจ็บ มักไม่ใช่อาการแสดงของโรคหัวใจขาดเลือด 
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่เคยมีอาการเจ็บหน้าอกจากโรคหลอดเลือดหัวใจขาดเลือดชั่วขณะเป็นครั้งคราว หากต่อมามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรงขึ้น กำเริบบ่อยขึ้น หรือมีอาการเจ็บหน้าอกแม้ขณะพักหรือออกแรงเพียงเล็กน้อย ให้สงสัยว่าตะกรันท่อเลือดแดงอาจสะสมมากขึ้นจนหลอดเลือดหัวใจเกิดการอุดตันมากขึ้น หรือตะกรันเริ่มแตกหรือมีลิ่มเลือดเกิดขึ้น อาการเช่นนี้ เรียกว่า โรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบไม่คงที่ (unstable angina) ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉิน เพราะอาจเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันตามมาได้

                                  
♦ ในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่วนใหญ่จะมีอาการเจ็บหน้าอกในลักษณะเดียวกับโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ แต่จะเจ็บรุนแรงและต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมงหรือเป็นวันๆ แม้จะได้พักก็ไม่ทุเลา บางรายอาจมีอาการปวดแน่นท้องคล้ายโรคกระเพาะหรือไม่มีอาการเจ็บหน้าอกก็ได้
ผู้ป่วยมักมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใจสั่น หน้ามืด เวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ร่วมด้วย
ถ้าเป็นรุนแรง จะมีอาการหายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีภาวะหัวใจวาย หรือเกิดภาวะช็อก (เหงื่อออก ตัวเย็น กระสับกระส่าย ใจหวิว เป็นลม) หรือชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ
ผู้ป่วยอาจเป็นลมหมดสติ หรือตายในทันทีทันใด
บางรายอาจมีประวัติว่า เคยมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราวนำมาก่อน เป็นเวลาหลายสัปดาห์
 บางรายอาจไม่มีอาการเจ็บหน้าอกมาก่อนเลยก็ได้


► การแยกโรค
๑. อาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หรือเป็นต่อเนื่องนานเป็นชั่วโมงๆ ถึงเป็นวันๆ ร่วมกับอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย หน้ามืด เป็นลม ที่พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน อาจเกิดจากสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ เช่น 
ภาวะสิ่งหลุดอุดตันหลอดเลือดแดงปอด (pulmonary embolism) มีอาการหายใจหอบ เจ็บหน้าอก เป็นลม หรือชัก
⇒ภาวะเลือดเซาะผนังหลอดเลือดแดงใหญ่ (aortic dissection) มีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง คล้ายเนื้อถูกฉีกหรือกรีด เจ็บแผ่ไปที่ท้อง ต้นขา คอ และหลังส่วนล่าง อาจมีอาการเป็นลม หรือแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย
⇒ ภาวะมีลมในโพรงเยื่อหุ้มปอด (pneumothorax) เกิดจากถุงลมปอดแตก มีลมรั่วเข้าไปอยู่ในโพรงเยื่อหุ้มปอด ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บหน้าอกแบบแปลบๆ แน่นอึดอัดในหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย
๒. อาการปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงลิ้นปี่เป็นช่วงสั้นๆ และกำเริบเป็นครั้งคราว ที่พบในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น
⇒ โรคกระเพาะ มีอาการแสบลิ้นปี่เวลาหิวหรือก่อนมื้ออาหาร หรือจุกแน่นลิ้นปี่เวลากินอิ่มเกือบทุกมื้อ กินยาลดกรดก็ทุเลาได้
⇒ โรคกรดไหลย้อน มีอาการแสบลิ้นปี่หรือจุกแน่นลิ้นปี่ เรอเปรี้ยวขึ้นไปที่ลำคอหลังกินอิ่มๆ หรือกินอาหารมัน เผ็ดจัด ของเปรี้ยว ดื่มกาแฟ ชา ช็อกโกแลต น้ำส้มคั้น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือกินอิ่มแล้วนอนราบ นั่งตัวงอ เข็มขัดคับเอว หรือเวลามีความเครียด เมื่อกินยารักษาโรคกระเพาะแล้วทุเลา
⇒ นิ่วในถุงน้ำดี มีอาการปวดบิดเกร็งเป็นพักๆ ตรงลิ้นปี่และใต้ชายโครงขวา นานครั้งละ ๓๐ นาทีถึง ๖ ชั่วโมง เป็นๆ หายๆ เป็นบางวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกินอาหารที่มันๆ

                                      


► การวินิจฉัยโรค
แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากประวัติและอาการแสดง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการปวดเค้น หรือจุกแน่นตรงลิ้นปี่แล้วปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร โดยมีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย (เช่น อายุมาก สูบบุหรี่ อ้วน มีประวัติเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง เป็นต้น)

เมื่อสงสัยเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (มีอาการที่น่าสงสัย หรือถึงแม้อาการไม่ชัดเจน เช่น ไม่มีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร ร่วมด้วย หรือไม่มีอาการแสดง แต่มีปัจจัยเสี่ยงมาก เช่น เป็นเบาหวานมาหลายปี อายุมาก และสูบบุหรี่จัด) แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูว่ามีเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง หรือมีสารเคมีที่บ่งชี้ว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือด) ตรวจคลื่นหัวใจ (ถ้าครั้งแรกบอกว่าปกติ ก็อาจต้องตรวจซ้ำอีกครั้ง) หรือตรวจด้วยวิธีอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ตรวจคลื่นหัวใจขณะออกกำลังกาย (exercise stress test) โดยการวิ่งบนสายพานหรือปั่นจักรยาน เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หัวใจ (cardiac CT scan) ถ่ายภาพหัวใจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (echocardiography) ถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ (coronary angiography) เป็นต้น


► การดูแลตนเอง
๑. ถ้ามีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หรือปวดต่อเนื่องติดต่อกันนานเป็นชั่วโมงๆ หรือเป็นวันๆ หรือมีอาการหอบเหนื่อย อ่อนเพลีย หน้ามืด หรือเป็นลม อย่างใดอย่างหนึ่งร่วมด้วย ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะอาจเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน หรือสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ ได้
 ๒. ถ้ามีอาการปวดเค้นหรือจุกแน่นตรงลิ้นปี่นาน ๒-๓ นาที (หรือไม่เกิน ๑๐-๑๕ นาที) ร่วมกับมีอาการปวดร้าวขึ้นไปที่คอ ไหล่ ขากรรไกร และ/หรือมีปัจจัยเสี่ยง (อายุมาก อ้วน สูบบุหรี่ เป็นเบาหวาน ความดันสูง เครียด) หรือมีอาการเจ็บหน้าอกเล็กน้อย กินยา ๓-๕ วันแล้วไม่ทุเลา หรือสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (โรคหัวใจขาดเลือด) ชั่วขณะ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์
. ถ้าตรวจพบว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ควรรับการบำบัดรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างจริงจังและต่อเนื่อง กินยาและดูแลรักษาตามคำแนะนำ อย่าหยุดยาหรือปรับยาเอง
 ถ้ามีโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือไขมันในเลือดสูง ก็ควรกินยาและปรับพฤติกรรม ควบคุมโรคให้ได้ผล
นอกจากนี้ควรปฏิบัติตัว ดังนี้
 ๑. เลิกสูบบุหรี่เด็ดขาด
 ๒. ถ้าอ้วน ควรหาทางลดน้ำหนัก
 ๓. กินผัก ผลไม้ และธัญพืช (เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด  ลูกเดือย ถั่วต่างๆ) ให้มากๆ กินโปรตีนจากปลา ถั่วเหลือง เต้าหู้ นมจืดและนมพร่องไขมัน ลดเนื้อแดง (เนื้อวัว เนื้อหมู) ลดน้ำตาล น้ำหวาน น้ำอัดลม และของหวาน ลดอาหารที่มีไขมัน ใช้น้ำมันถั่วเหลืองแทนน้ำมันหมู 
 ๔. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แต่ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่หักโหม และควรค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อย ทางที่ดีควรขอคำแนะนำจากแพทย์เสียก่อนที่จะออกกำลังกายมากๆ การออกกำลังกายที่แนะนำให้ทำกัน ได้แก่ เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ เป็นต้น
 ๕. หลีกเลี่ยงสิ่งที่จะกระตุ้นให้เกิดอาการโรคหัวใจกำเริบ เช่น
⇒ อย่าทำงานหักโหมเกินไป
⇒ อย่ากินข้าวอิ่มเกินไป
⇒ ระวังอย่าให้ท้องผูก โดยการดื่มน้ำมากๆ กินผลไม้ให้มากๆ และควรกินยาระบายเวลาท้องผูก
⇒ ควรงดดื่มชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่ใส่กาเฟอีน
⇒ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้อารมณ์เครียด ตื่นเต้นตกใจ หรือการกระทบกระเทือนทางจิตใจ และทำจิตใจให้เบิกบานอยู่เสมอ
 ๖. ป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้โรคหัวใจกำเริบได้ โดยปฏิบัติดังนี้
⇒ อย่าคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นไข้ไม่สบาย
⇒กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง หมั่นล้างมือ
⇒ รักษาสุขภาพฟันและช่องปาก โดยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และตรวจเช็กฟันกับทันตแพทย์เป็นประจำ (การติดเชื้อในช่องปากอาจปล่อยเชื้อเข้าไปที่หัวใจ ทำให้โรคหัวใจกำเริบได้)
⇒ ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่เป็นประจำ (ปีละครั้ง)


► การรักษา แพทย์จะแนะนำข้อปฏิบัติตัวที่เหมาะสมต่างๆ และให้การบำบัดรักษา ดังนี้
 ๑. ให้ยาขยายหลอดเลือดหัวใจชนิดกิน และ/หรือชนิดอมใต้ลิ้น เพื่อป้องกันและบรรเทาอาการเจ็บหน้าอก ให้ยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดหัวใจ ให้ยาควบคุมโรคประจำตัว (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง)
 ๒. ในรายที่มีอาการเจ็บหน้าอกบ่อย หรือใช้ยาไม่ได้ผล แพทย์จะทำการถ่ายภาพหลอดเลือดหัวใจ ถ้าพบว่ามีการอุดกั้นรุนแรงหรือหลายแห่ง ก็จะทำการแก้ไขโดยการขยายหลอดเลือดด้วยบัลลูน (นิยมเรียกว่า "การทำบัลลูน") และใส่หลอดลวดตาข่าย (stent) คาไว้ในหลอดเลือดบริเวณที่ตีบตัน 
 ๓. ในรายที่เป็นรุนแรง หรือใช้ยาและทำบัลลูนไม่ได้ผล แพทย์จะทำการผ่าตัดเปิดทางระบาย (ทางเบี่ยง) ของหลอดเลือดหัวใจ (นิยมเรียกว่า "การผ่าตัดทำบายพาส") โดยการนำหลอดเลือดดำที่ส่วนอื่น (เช่น หลอดเลือดดำขา) ไปเชื่อมต่อระหว่างหลอดเลือดหัวใจ (ข้ามส่วนที่ตีบตัน) กับหลอดเลือดแดงใหญ่
 ๔. ในรายที่มีโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน แพทย์จะรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล (หน่วยบำบัดโรคหัวใจ หรือ cardiac care unit) พิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือด (thrombolytic agent) ฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำ (ซึ่งจะได้ผลดีเมื่อให้ภายใน ๖ ชั่วโมงหลังเกิดอาการ) หรือไม่ก็อาจทำบัลลูนหรือทำผ่าตัดบายพาสแบบฉุกเฉิน และให้การดูแลรักษาจนกว่าจะปลอดภัย อาจต้องพักอยู่ในโรงพยาบาล ๕-๗ วัน เมื่ออาการทุเลาแล้วก็จะเริ่มทำกายภาพบำบัดฟื้นฟูสภาพหัวใจให้แข็งแรง ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงการทำงานหนัก และงดการร่วมเพศเป็นเวลา ๔-๕ สัปดาห์ สามารถกลับไปทำงานได้หลังมีอาการ ๘-๑๒ สัปดาห์ แต่ห้ามทำงานที่ต้องใช้แรงมาก
 แพทย์จะนัดผู้ป่วยมาติดตามการรักษาเป็นประจำทุก ๑-๓ เดือน ตรวจเช็กร่างกายและปรับการใช้ยาให้เหมาะกับสภาพปัญหาของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง


► ภาวะแทรกซ้อน
 อาจทำให้เกิดภาวะช็อก (เป็นลม กระสับกระส่าย ชีพจรเต้นเร็ว ความดันเลือดต่ำ) หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจห้องล่างแตก ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตอย่างกะทันหันได้
 บางรายอาจมีเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบแทรกซ้อนหลังเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ๑๐ วันถึง ๒ เดือน หรือมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นแล้วหลุดลอยไปอุดตันหลอดเลือดสมอง (ทำให้เป็นอัมพาตครึ่งซีก) และหลอดเลือดทั่วร่างกายได้
 บางรายอาจมีภาวะซึมเศร้า หลังจากฟื้นตัวจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย


► การดำเนินโรค
 ถ้าไม่ได้รับการรักษา ก็มักจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ส่วนในรายที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายก็อาจเสียชีวิตกะทันหันได้
ส่วนผู้ที่ได้รับการรักษา ผลการรักษาขึ้นกับความรุนแรงของโรค สภาพผู้ป่วย โรคที่พบร่วม และวิธีรักษา
ในรายที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดชั่วขณะแบบเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง มักได้ผลการรักษาที่ดี การใช้แอสไพรินสามารถป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย และลดการตายลงได้ ส่วนการทำบัลลูนและการผ่าตัดบายพาสช่วยให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงอยู่รอดปลอดภัยมากขึ้น
 ปัจจัยที่ทำให้ผลการรักษาไม่สู้ดี ได้แก่ ผู้ป่วยอายุมาก เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่ มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อน (เช่น หัวใจวาย)
ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจขาดเลือดแบบไม่คงที่ ถ้าเริ่มมีกล้ามเนื้อหัวใจตายบางส่วน หรือมีความล่าช้าในการถ่ายภาพรังสีหลอดเลือดหัวใจ และการบำบัดที่เหมาะสม ผลการรักษามักจะไม่ดี
 ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ถ้าเป็นรุนแรงหรือกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลายปริมาณมากก็มักจะเสียชีวิตอย่างรวดเร็วหรือทันทีทันใด ในรายที่สามารถมีชีวิตรอดได้ ๒-๓ วันหลังเกิดอาการก็มักจะฟื้นตัวจนเป็นปกติได้ ซึ่งบางรายอาจกำเริบซ้ำและมักจะเสียชีวิตภายใน ๓-๔ เดือน ถึง ๑ ปีต่อมา ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีอาการต่อเนื่อง เช่น เจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราว หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือภาวะหัวใจวาย มักพบอัตราตายและการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูงในผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน หรือมีภาวะหัวใจห้องบนเต้นแผ่วระรัวร่วมด้วย
 ส่วนในรายที่ได้รับการทำบัลลูนหรือผ่าตัดบายพาส มักจะฟื้นสภาพได้ดี และมีชีวิตได้ยืนยาวขึ้น แต่บางรายก็อาจมีหลอดเลือดหัวใจตีบตันซ้ำ ซึ่งอาจต้องทำบัลลูนหรือผ่าตัดบายพาสซ้ำ


► การป้องกัน
 ๑. ไม่สูบบุหรี่
 ๒. หมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิกเป็นประจำสัปดาห์ละ ๕ วัน หรือวันเว้นวัน (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ "การดูแลตนเอง")
 ๓. กินอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพ (ดูเพิ่มเติมในหัวข้อ "การดูแลตนเอง")
 ๔. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (ดัชนีมวลกาย ๑๘.๕-๒๓ กิโลกรัมต่อเมตร๒)
 ๕. ผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น ออกกำลังกาย ฝึกโยคะ รำมวยจีน ทำสมาธิ เจริญสติ ทำงานอดิเรก ทำงานจิตอาสา 
 ๖. ถ้าเป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง หรือไขมันในเลือดสูง ควรกินยาควบคุมและปรับพฤติกรรมให้สามารถควบคุมโรคเหล่านี้ได้อย่างจริงจังและต่อเนื่อง
 ๗. ถ้าเป็นเบาหวานหรือเคยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดมาก่อน ควรกินยาต้านเกล็ดเลือด (เช่น แอสไพริน) ตามคำแนะนำของแพทย์
 ๘. ป้องกันการติดเชื้อและรักษาสุขภาพฟันและช่องปาก (ดูรายละเอียดในหัวข้อ "การดูแลตนเอง")


► ความชุก
ปัจจุบันพบโรคนี้ได้บ่อยขึ้นกว่าแต่ก่อน มักจะพบได้มากขึ้นตามอายุ ส่วนมากจะมีอาการกำเริบเมื่อมีอายุมากกว่า ๔๐ ปีขึ้นไป มักไม่พบในผู้ชายอายุต่ำกว่า ๓๐ ปี หรือผู้หญิงอายุต่ำกว่า ๔๐ ปี ที่ไม่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน
โรคนี้พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง คนที่อยู่ดีกินดี คนที่มีอาชีพทำงานนั่งโต๊ะและคนในเมือง มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าคนยากจน คนที่มีอาชีพใช้แรงงานและชาวชนบท
โรคนี้พบได้มากในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุมาก สูบบุหรี่ อ้วน ขาดการออกกำลังกาย เป็นโรคเบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง

๔ อ. บำรุงสุขภาพสมอง (หัวใจและจิตใจ)



“อะไรที่ดีต่อหัวใจ ย่อมดีต่อสมองเสมอ”
คนทั่วไป มักให้ความสนใจต่อการป้องกันโรคหัวใจ เพราะเป็นโรคที่ทำให้เสียชีวิตอย่างฉับพลัน จึงเป็นที่ตระหนกและกล่าวขานกันมาก
การป้องกันโรคหัวใจ (หลอดเลือดหัวใจตีบ) พึงปฏิบัติให้ถูกต้องในเรื่องของ “๔ อ.” ดังต่อไปนี้
๑. อาหาร หมั่นกินผักผลไม้ เมล็ดธัญพืช และเครื่องเทศ (เช่น พริก กระเทียม ขิง ข่า ขมิ้น ตะไคร้) โดยกินเมล็ดธัญพืช (เช่น ข้าว ข้าวโพด ถั่ว ลูกเดือย) และกล้วย ซึ่งให้แคลอรี (พลังงานในรูปของคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่) ประมาณวันละ ๑ กิโลกรัม กินผักและผลไม้ที่ไม่หวาน (ไม่ให้พลังงาน) ให้หลากหลายประมาณวันละครึ่งกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย
ควรกินโปรตีนจากปลาและเต้าหู้ (เมล็ดถั่วเหลืองหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง) เป็นหลัก สามารถกินไข่ไก่วันละ ๑ ฟอง (ถ้าเคยตรวจพบไขมันในเลือดสูงควรลดไข่แดงลง) และนมพร่องไขมัน กินเนื้อเป็ดไก่ได้บ้างเป็นครั้งคราว แต่ควรลดเนื้อแดง (ได้แก่ เนื้อหมูและเนื้อวัว)
ควรลดอาหารที่มีไขมันสูง ควรกินน้ำมันพืช (ได้แก่น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำข้าว น้ำมันทานตะวัน น้ำมันงา น้ำมันมะกอก) แทนน้ำมันหมู และควรลดการบริโภคน้ำตาล น้ำหวาน และของหวาน
ควรเลือกกินอาหารที่หลากหลาย สะอาด ถูกหลัก และสามารถทำให้น้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์พอดี อย่าผอมไปหรืออ้วนไป มีการขับถ่ายอุจจาระเป็นก้อนโตแต่นุ่มและขับถ่ายง่ายทุกวัน
๒. ออกกำลังกาย หมั่นออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก เล่นฮูลาฮูป (เร็วๆ) เต้นรำจังหวะเร็ว เป็นต้น อย่างน้อย ๕ วันต่อสัปดาห์หรือวันเว้นวัน นานครั้งละ ๓๐ นาทีเป็นอย่างน้อย โดยให้รู้สึกมีเหงื่ออกนิดๆ และหัวใจเต้นเร็วขึ้น
ในแต่ละสัปดาห์ ยังควรออกกำลังกายแบบฝึกกล้ามเนื้อ (เช่น วิดพื้น ยกน้ำหนัก) และแบบยืดเส้นยืดสาย (เช่น กายบริหาร รำกระบอง โยคะ รำมวยจีน) ประกอบเป็นครั้งคราว

๓. อารมณ์ นอนหลับให้เพียงพอ (ประมาณวันละ ๖-๘ ชั่วโมง) หลีกเลี่ยงการทำงานหักโหม อดหลับอดนอน ทำงานอดิเรก (เช่น ปลูกต้นไม้ เล่นดนตรี ร้องเพลง วาดภาพ อ่านหนังสือ) และหาทางพักผ่อนหย่อนใจ (เช่น ท่องเที่ยว ชมธรรมชาติ) ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เกิดอารมณ์รุนแรงหรือเครียดจัด ฝึกสมาธิ เจริญสติ ทำงานช่วยเหลือสังคม และหมั่นฝึกมองโลกในแง่ดี ลดละการยึดมั่นถือมั่น
๔. อันตราย ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด ส่วนผู้ที่น้ำหนักเกิน เป็นเบาหวาน ความดันสูงหรือไขมันในเลือดสูงก็ต้องได้รับการรักษา และดูแลตัวเองจนสามารถควบคุมโรคได้ดี
พฤติกรรม ๔ อ. ดังกล่าวช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดหัวใจแข็งและหนาตัว (ทำให้เลือดไปเลี้ยงหัวใจได้น้อยลง หัวใจขาดเลือดไปเลี้ยง) เป็นต้นเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวายกะทันหันได้
พฤติกรรมดังกล่าวยังช่วยป้องกันหลอดเลือดแดงทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหลอดเลือดสมองไม่ให้แข็งและหนาตัวได้เช่นเดียวกัน สามารถป้องกันอาการสมองเสื่อม และโรคอัมพฤกษ์อัมพาตเนื่องจากสมองขาดเลือดไปเลี้ยง
ดังนั้น จึงกล่าวได้เต็มปากว่า “อะไรที่ดีต่อหัวใจ ย่อมดีต่อสมองเสมอ”
นอกจากเรื่องของสุขภาพหลอดเลือดที่เลี้ยงสมองแล้ว ยังมีสุขภาพของสมองด้านอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำหน้าที่ของสมอง ได้แก่ การรับรู้ (การเรียนรู้ เชาวน์ปัญญา) ความรู้สึก (รวมทั้งอารมณ์) ความคิด และความจำ ซึ่งบางครั้งเรียกรวมๆ ว่า “จิต” หรือ “จิตใจ”
ในการทำหน้าที่ของสมองให้สมบูรณ์จำเป็นต้องอาศัยพฤติกรรม ๔ อ. ดังกล่าวเป็นพื้นฐาน และยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่พึงใส่ใจซึ่งจะขอกล่าวถึงเฉพาะที่สำคัญดังนี้
๑. อาหาร ควรเน้นเพิ่มเติมในการบริโภคไขมันที่มีชื่อว่า โอเมกา-3 (แบ่งย่อยออกเป็น DHA และ EPA เป็นต้น) ซึ่งมีมากในปลาทั้งปลาทะเลและปลาน้ำจืด (เช่น ปลานิล ปลาดุก ปลาสวาย ปลาช่อน) และอาหารทะเล (เช่น ปลาทู ปลากะพง กุ้ง หอย ปลาหมึก) โอเมกา-3 จะถูกนำไปสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ประสาทและปลอกหุ้มกิ่งก้านของเซลล์ประสาท ทำให้ความจำดี ถ้าขาดอาจทำให้สมองเสื่อมได้ ควรกินสัปดาห์ละ ๒-๓ ครั้งหรือวันเว้นวัน
ควรบริโภคพืชผักหรืออาหารที่มีสารฟลาโวนอยด์ (flavonoids) เช่น (ถั่วเหลือง เต้าหู้  บลูเบอร์รี่ องุ่น พริกไทย หัวหอม เซเลรี น้ำชา ช็อกโกแลต) ซึ่งจะช่วยให้ความจำดีและอารมณ์ดี
ทุกวันควรดื่มน้ำให้เพียงพอ และอย่าอดอาหารหรือปล่อยให้หิว การทำงานของสมองต้องการน้ำ น้ำตาลจากอาหารที่บริโภค และออกซิเจน (จากอากาศที่หายใจ) ในการสร้างพลังงานแก่เซลล์สมอง ให้สามารถทำงานได้เป็นปกติ หากขาดอันใดอันหนึ่ง เช่น ขาดน้ำ ขาดอากาศ ขาดน้ำตาล ก็จะทำให้สมองตื้อ คิดอะไรไม่ออก ไม่สดชื่น หากขาดอย่างรุนแรง ทำให้เกิดอาการชักหรือหมดสติได้

๒. ออกกำลังกาย หมั่นทำอย่างสม่ำเสมอจะช่วยเพิ่มออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง กระตุ้นการงอกของเซลล์สมองใหม่ ทำให้สมองทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล ความจำดี รู้สึกสดชื่น
การฝึกหายใจลึกและช้า (นาทีละไม่เกิน ๑๐ ครั้ง) ก็ช่วยให้สมองได้ออกซิเจน มีผลดีต่อสมองและจิตใจเช่นเดียวกัน
๓. อารมณ์ (ในที่นี้รวมถึงจิตใจที่ทำหน้าที่หลายด้าน รวมทั้งอารมณ์) ต้องหลีกเลี่ยงการเกิดความเครียด เพราะจะทำให้หลั่งฮอร์โมนสตีรอยด์ที่ทำลายเซลล์สมอง ทำให้ความจำเสื่อม
ควรกระตุ้นความจำและการเรียนรู้ ด้วยการอ่านหนังสือ การเขียนบันทึก การต่อภาพ (จิกซอว์) การต่อคำ (crossword) การเล่มเกมฝึกสมอง การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา การคบหาสมาคมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้คนต่างๆ
ควรหมั่นฝึกสติ สมาธิ ทำอะไรอย่างใจจดใจจ่ออยู่ตลอดเวลา จะช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของสมองส่วนหน้าตรงกลาง (middle prefrontal area) ทำให้เกิดความสมดุลของร่างกายและอารมณ์ นำไปสู่สุขภาวะทาง กาย–จิต–สังคม
สำหรับเด็กเล็กควรให้การเลี้ยงดูด้วยความรักความอบอุ่น ซึ่งจะส่งเสริมให้มีพัฒนาการของสมอง และจิตใจที่ดีต่อไปในอนาคต
๔. อันตราย ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติด สารโลหะหนัก (เช่น ตะกั่ว ปรอท) ซึ่งเป็นตัวทำลายเซลล์สมอง ทำให้ความจำเสื่อม มีอารมณ์ร้ายและพฤติกรรมผิดเพี้ยนได้
ควรป้องกันไม่ให้สมองได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือน เช่น อุบัติเหตุ การเขย่าศีรษะ การกระแทกศีรษะ ทำให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำเสื่อมได้
ควรหลีกเลี่ยงการนั่งดูทีวี นั่งเล่นคอมพิวเตอร์มากเกินไป รวมทั้งการนั่งอยู่หรือนอนอยู่เฉยๆ เป็นเวลานาน (จนรู้สึกน่าเบื่อ) อาจทำให้สมองล้า ขาดการกระตุ้นให้เรียนรู้ รวมทั้งอาจทำให้สมาธิสั้นได้
จงหันมาใส่ใจดูแลสมอง (หัวใจและจิตใจ) ด้วยหลัก “๔ อ.” กันเถอะ! 

ยาสำหรับผู้สูงอายุ



ปัจจุบันผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น สวนทางกับอัตราการเกิดใหม่ของเด็กที่นับวันจะน้อยลงเรื่อยๆ เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจริงในประเทศที่พัฒนาแล้ว รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย
ผู้สูงอายุล้วนเป็นผู้ที่อุทิศ ทุ่มเท อุตสาหะ ทำงานสร้างโลกใบนี้ตั้งแต่วัยรุ่นจนกระทั่งเกษียณอายุ พร้อมทั้งได้รับตำแหน่ง “ผู้สูงอายุ” (จะชอบหรือไม่ก็ได้สิทธิ์นั้นทันที) จึงเป็นหน้าที่ของพลโลกทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายวัยใดก็ตาม ที่จะต้องช่วยกันดูแลผู้สูงอายุเหล่านี้อย่างดีที่สุด เสมือนเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณที่เคยบากบั่นทำงาน สร้างโลก และเลี้ยงดูพลโลกรุ่นหลังให้เติบใหญ่ช่วยตัวเองได้ และรับช่วงต่อจากท่าน
อายุมากขึ้น ร่างกายเริ่มเสื่อมถอย
เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น พอถึงจุดหนึ่งก็จะเริ่มเสื่อมถอยตามความแก่ชราของร่างกาย สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนคือสายตาที่เริ่มจะมองภาพได้ไม่ชัดเหมือนตอนหนุ่มสาว และติดตามมาด้วยอวัยวะต่างๆ เช่น ข้อเข่า หัวใจ หลอดเลือด ไต
ถึงแม้ว่าการเสื่อมถอยเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็มีหลายคนยังสามารถรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และทำงานได้ดีกว่าผู้สูงอายุวัยเดียวกัน เรียกว่าไม่เสื่อมถอยเอาเสียเลย ย่อมแสดงถึงการดูแลสุขภาพทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดีเยี่ยม จนเกิดแนวคิด “smart elderlys” หรือ “ผู้สูงอายุที่สมาร์ต” เพื่อให้ได้ “ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เป็นมิ่งขวัญของลูกหลาน” สามารถช่วยตัวเองได้เป็นอย่างดี และไม่เป็นภาระกับคนรุ่นหลัง ถึงแม้ว่าอายุจะล่วงเลยไปมากแล้วก็ตาม
สิ่งที่ช่วยให้มีผู้ใหญ่ที่สมาร์ต ก็ด้วยหลัก “๔ อ” อันได้แก่ อาหาร อารมณ์ ออกกำลังกาย และอากาศ ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มาตั้งแต่วัยหนุ่มสาว จึงส่งผลให้อายุยืนยาว แข็งแรง และปลอดโรค
อย่างไรก็ตาม ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ก็จะมีการเสื่อมของอวัยวะต่างๆ มากบ้าง น้อยบ้าง ตามหลักของธรรมชาติ
การเสื่อมของร่างกาย... ที่มาของหลายโรค
การเสื่อมของร่างกายในผู้สูงอายุที่พบบ่อย ได้แก่ สายตา มือ ฟัน ตับ ไต สมอง หลอดเลือด ฯลฯ
การเสื่อมของอวัยวะเหล่านี้ บางครั้งก็ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการทำงาน (เช่น การเสื่อมถอยของสายตา และมือ) แต่ก็มีหลายๆ ครั้งที่การเสื่อมของอวัยวะ ทำให้เกิดโรคขึ้นได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โดยเริ่มจากเป็นโรคใดโรคหนึ่งก่อน และอีก “หลายโรค” ก็ตามมาเป็นคณะ ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย
หลายโรค... หลายหมอ... หลายยา
เมื่อมี “หลายโรค” เข้ามารุมเร้า ทำให้ต้องไปรับการรักษาโรคกับหมอหลายคนตามความชำนาญเฉพาะด้าน และอาจเรียกว่า “หลายหมอ” ตามมาด้วยการได้รับยาหลายชนิดเพื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่ เรียกว่า “หลายยา”
สรุปได้ว่า สิ่งที่มักจะอยู่คู่กับผู้สูงอายุ ก็คือ “หลายโรค หลายหมอ หลายยา”
การที่ผู้ป่วยต้องใช้ยาหลายชนิดล้วนเป็นภาระสำหรับผู้ใช้ยาทั้งสิ้น ทั้งปัญหาจากการใช้ยาและภาระค่าใช้จ่าย ซึ่งเรื่องนี้กับคนปกติก็เป็นปัญหาหนักอยู่แล้ว ยิ่งเป็นผู้สูงอายุด้วยปัญหาจะมากขึ้นเป็นทวีคูณ และรอคอยการดูแลช่วยเหลือจากผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างดีที่สุด
ปัญหาจากการใช้ยาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ ได้แก่ ไม่ใช้ยาตามสั่ง ใช้ยาซ้ำซ้อน เกิดผลข้างเคียงจากยา และยาตีกัน
ปัญหาการไม่ใช้ยาตามสั่ง
ผู้สูงอายุอาจไม่ได้ใช้ยาตามสั่ง อันเนื่องจากการหลงลืมว่าได้ใช้ยาไปหรือยัง หรือเบื่อการใช้ยาที่มีจำนวนมาก หรือหยุดการใช้ยาเมื่อไม่มีอาการแล้ว จะด้วยปัญหาอะไรก็ตาม ถ้าส่งผลให้ผู้สูงอายุไม่ได้ใช้ยาตามแพทย์สั่งแล้ว ก็จะส่งผลให้โรคเรื้อรังที่เป็นอยู่ไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในระดับที่ดีได้ เกิดการลุกลามทำลายอวัยวะต่างๆ ตามการลุกลามของโรค จนทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน รักษาได้ยาก และเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ปัญหาเรื่องนี้ อาจแก้ด้วยการเริ่มสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ป่วยกับผู้ให้การรักษา จนเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ตามด้วยการอธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจแผนการรักษาและการใช้ยาของแพทย์ รวมถึงการย้ำเตือนเป็นระยะ ถึงความสำคัญของการใช้ยาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมอาการของโรคไม่ให้ลุกลามและเกิดภาวะแทรกซ้อน เป็นปัญหาใหญ่โตต่อไป ซึ่งอาจให้ญาติพี่น้องลูกหลานใกล้ชิดคอยจัดยาและเตือนให้ใช้ยาตามสั่ง
ปัญหาการใช้ยาซ้ำซ้อน
การใช้ยาซ้ำซ้อน เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พบได้บ่อยในผู้สูงอายุที่เป็นหลายโรค หาหลายหมอ และใช้ยาหลายอย่าง
การใช้ยาซ้ำซ้อนนี้อาจจะด้วยความหวังดีของหมอที่ให้การรักษา ตัวอย่างเช่น นาย ก. เป็นโรคความดันโลหิตสูง และปวดข้อเข่า เมื่อไปหาหมอเรื่องปวดข้อเข่า หมอจ่ายยาแก้ปวดแก้อักเสบข้อเข่าให้ และไปพบหมอที่ดูแลเรื่องความดันโลหิตสูง เมื่อหมอรู้ว่ามีอาการปวดข้อเข่าด้วย ก็ให้ยาปวดข้อเข่ามาอีก
ตัวอย่างนี้ นาย ก. จึงได้ยาแก้ปวดและอักเสบข้อเข่าจากหมอทั้ง ๒ คน ทำให้ใช้ยาซ้ำซ้อน
ดังกรณีของนาย ก. นี้ หลังจากที่ผู้ป่วยได้ใช้ยาแก้อักเสบข้อเข่าจากหมอทั้ง ๒ คนไประยะหนึ่ง ก็จะเกิดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร เนื่องจากยาเหล่านี้มีฤทธิ์เป็นกรดระคายเคืองทางเดินอาหาร และอาจลุกลามทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร และมีเลือดออกในทางเดินอาหารได้
ปัญหานี้แก้ไขได้ด้วย “การจดบันทึกรายการยาที่ใช้อยู่ ทั้งที่ใช้เป็นประจำและที่ใช้เป็นครั้งคราว” และเมื่อใดที่ไปพบแพทย์ เภสัชกร หรือหมออนามัย ควรนำบันทึกรายชื่อยาทั้งหมดที่ใช้อยู่นำไปแสดงด้วย จะได้ช่วยตรวจสอบและแก้ปัญหาการใช้ยาซ้ำซ้อน
การใช้ยาซ้ำซ้อน... เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา
ผู้สูงอายุบางครั้งจะไวต่อการเกิดอาการอันไม่พึงประสงค์ได้ง่ายกว่าวัยอื่น ที่พบบ่อยๆ เช่น ยาลดความดันโลหิตสูง ที่มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตลง จนบางครั้งทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะเวลาเปลี่ยนอิริยาบถจากการนอนนานๆ หรือนั่งนานๆ แล้วลุกขึ้นยืน หากลุกขึ้นยืนเร็วเกินไปก็จะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทัน เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลมล้มลง จนอาจทำให้เกิดอันตรายรุนแรงได้
ปัญหานี้ ผู้ป่วยหรือญาติควรสอบถามกับแพทย์ เภสัชกร หรือหมออนามัย ทุกครั้งที่ได้รับยาใหม่ว่า “ยาชื่ออะไร ใช้รักษาโรคใด มีวิธีใช้อย่างไร ข้อควรระวัง และมีผลข้างเคียงที่พบบ่อยๆ อย่างไร” เพื่อจะได้ระวัง และหมั่นสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้หลังจากใช้ยา
นอกจากนี้ หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้ยา ก็ควรจดบันทึกและแจ้งผู้สั่งจ่ายยาทราบทุกครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ยาได้
ปัญหาเรื่องยาตีกัน
จริงๆ แล้วปัญหานี้ดูคล้ายกับการใช้ยาซ้ำซ้อน... แต่ไม่ใช่ เป็นการใช้ยาซ้ำซ้อน แต่เป็นการใช้ยาตามปกติเพื่อรักษาโรค หากมีจำนวนมากขึ้น ก็จะมีโอกาสเสี่ยงให้เกิดยาตีกันได้ หรือบางครั้งปัญหายาตีกัน อาจเกิดจากยาสามัญประจำบ้าน อาหาร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสมุนไพร
การป้องกันและแก้ปัญหานี้คือ การจดบันทึกยาทุกชนิดไปแสดงให้กับแพทย์หรือเภสัชกรทราบ เพื่อตรวจสอบ “ยาตีกัน” หากเกิดขึ้นจะได้หลักเลี่ยงทันที
ถึงตอนนี้คงทราบปัญหาการใช้ยาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ และแนวทางง่ายๆ ในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้เป็นอย่างดีแล้ว
ป้องกันผู้สูงอายุได้รับอันตรายจากการใช้ยา
จากการศึกษาวิจัยการใช้ยาในผู้สูงอายุ จึงขอเสนอให้เฝ้าระวังผู้สูงอายุที่มีลักษณะดังนี้เป็นพิเศษ ได้แก่
๑. ผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพัง
๒. ผู้สูงอายุที่ใช้ยาตั้งแต่ ๓ ชนิดขึ้นไป (รวมถึงยาสามัญประจำบ้าน สมุนไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร)
๓. ผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องความจำ หลงๆ ลืมๆ
๔. ผู้สูงอายุที่ไปหา “หลายหมอ”
การดูแลการใช้ยาของผู้สูงอายุ จากญาติพี่น้องและลูกหลาน เป็นการช่วยเหลือทั้งการไปพบแพทย์ ช่วยจดจำ บันทึกวิธีการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย ขั้นตอนการใช้ยา ที่จะต้องจัดเตรียมยาและ/หรือการป้อนยาแก่ผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ป่วยได้ใช้ยาตามแพทย์สั่ง จะได้ผลการรักษาที่ดีมีประสิทธิภาพ เกิดความปลอดภัย และประหยัด

โรคเด็กตาขี้เกียจ



โรคเด็กตาขี้เกียจ คืออะไร
เมื่อแรกเกิด ระบบการมองเห็นจะมีการพัฒนาเรื่อยๆ จนอายุประมาณ ๘-๑๐ ขวบ จึงจะเจริญเต็มที่ โดยจำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นการมองเห็นที่ดีในตาทั้ง ๒ ข้างในอัตราใกล้เคียงกัน
ถ้ามีสาเหตุใดๆ ที่ทำให้ตาทั้ง ๒ ข้างไม่ได้ใช้มอง หรือใช้ตาข้างใดข้างหนึ่งน้อยกว่าตาอีกข้าง จะทำให้ตาข้างที่ใช้น้อยกว่ามีพัฒนาการที่ไม่ดีไปตลอดชีวิต โดยเมื่อเด็กโตขึ้นจะก็ไม่สามารถแก้ไขให้กลับมามองเห็นได้ เกิดภาวะที่เรียกว่า โรคเด็กตาขี้เกียจ (Amblyopia)
ดังนั้น หากพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ไม่ช่วยกันสังเกตความผิดปกตินี้และแก้ไขตั้งแต่วัยเด็ก เด็กจะมีความพิการทางตาจากโรคตาขี้เกียจไปตลอดชีวิต
สาเหตุและการสังเกตอาการเบื้องต้น
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคตาขี้เกียจ อาจเกิดจากความผิดปกติของตาได้หลายแบบ ที่พบบ่อยและหากคุณพ่อคุณแม่พบความผิดปกตินี้ควรรีบพาไปพบจักษุแพทย์โดยเร็ว ได้แก่
๑.โรคตาเข หรือตาเหล่ สังเกตได้ว่าตาดำของทั้ง ๒ ตาไม่อยู่ตรงกลาง โดยอาจเป็นตาเหล่ข้างเดียวหรือสลับกันเหล่ก็ได้ ทดสอบโดยการใช้ไฟฉายส่องบริเวณหว่างคิ้วเด็ก หากเงาไฟฉายไม่ตกกลางตาดำทั้ง ๒ ตา แสดงว่ามีตาเขหรือตาเหล่
๒.สายตาผิดปกติ โดยสายตาทั้ง ๒ ข้าง สั้น ยาว หรือเอียงมาก หรือ ๒ ข้างผิดปกติไม่เท่ากัน ถ้าแตกต่างกันมาก เด็กจะใช้ตาข้างที่ชัดกว่ามองเป็นหลัก สังเกตได้ว่าเด็กจะมีพฤติกรรมชอบเข้าไปดูโทรทัศน์ใกล้ๆ เอียงศีรษะมอง ชอบหยีตามอง หรือมองกระดานไม่ชัด
๓.ต้อกระจกหรือหนังตาตกแต่กำเนิด จะทำให้มีการบังแสงไม่ให้เข้าตาข้างที่มีความผิดปกติ ทำให้ตาไม่มีพัฒนาที่เป็นปกติได้
๔.สาเหตุอื่นๆ เช่น ลูกตาหรือกระจกตามีขนาดเล็ก หรือขาวขุ่น โรคของจอประสาทตาหรือเส้นประสาทตา เป็นต้น ซึ่งอาจเกิดกับตาข้างเดียวหรือเกิดกับตาทั้ง ๒ ข้างก็ได้
อาการและอาการแสดงของโรคตาขี้เกียจ
๑.เด็กเล็ก อาจสังเกตเห็นลูกตาดำสั่น หรือเด็กไม่จ้องหน้ามารดา หรือเด็กจะร้องไห้เมื่อถูกปิดตา ๑ ข้าง หรือพยายามดึงมือที่ปิดตาออก
๒.เด็กโต ถ้าคุณพ่อคุณแม่ทดลองปิดตาทีละข้างสลับกัน เด็กจะมองเห็นภาพไม่ชัดเหมือนคนตาปกติ
การรักษา
หากได้รับการวินิจฉัยและรักษาในระยะแรก อาจสามารถกลับคืนปกติได้ วิธีการรักษาได้แก่
๑.กรณีสายตาผิดปกติ ต้องให้จักษุแพทย์วัดแว่นสายตาเพื่อโฟกัสภาพให้ชัดเจนขึ้น
.กรณีตาเข อาจต้องผ่าตัดกล้ามเนื้อตาเพื่อรักษาให้ตาตรง
๓.การปิดตาข้างที่แข็งแรง หรือหยอดยาตาข้างที่แข็งแรงให้มัวลงชั่วคราวเพื่อบังคับให้ตาข้างที่ขี้เกียจได้ทำงาน
ข้อแนะนำในการป้องกัน
เมื่อคุณพ่อคุณแม่พบอาการผิดปกติเกี่ยวกับดวงตาหรือพฤติกรรมการมองเห็น ควรรีบพาเด็กไปพบจักษุแพทย์ โดยเด็กทุกคนควรได้รับการตรวจตาก่อนวัยเข้าโรงเรียน และต่อเนื่องเป็นระยะ เพื่อจะได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคตาได้อย่างถูกต้องทันท่วงที
สอบถามปัญหาสุขภาพตากับราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย ที่เว็บไซต์ www.rcopt.org