amazon

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เมนูสุขภาพที่ควรมีไว้ในตู้เย็น!


อยู่ท้อง

        อาหารที่เราควรซื้อเก็บไว้ในตู้เย็น ควรเป็นของดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ เผื่อวันใดหิวๆ ขึ้นมาหรือยิ่งเป็นมื้อดึก จะได้ไม่คว้าเอาของทำลายสุขภาพเข้าสู่ร่างกาย และยังไม่เป็นการเพิ่มน้ำหนักอีกด้วย
      1. ไข่ไก่ คนไทยชอบอยู่แล้วเพราะทำได้สารพัดเมนู จะเอามาเจียว ต้ม นึ่ง หรือเป็นอาหารเช้าแบบเร่งรัดได้แค่เอามาต้มกินกับซอส สัก 1-2 ฟองก็อิ่มไปทั้งเช้าหรือวันที่เหมือนขาดอะไรไปสักอย่างในจานพิเศษ ไข่ก็ยังนำมาผสมผสานให้น่ากินเข้าไปอีกได้ ไม่ว่าจะเป็นหม้อสุกี้ยากี้ ข้าวไข่ข้นหน้าแฮม (พอดีมีแฮมติดตู้แต่คิดเมนูไม่ออก) ไข่นี่ล่ะไม่มีไม่ได้เลย

      2. นมสด เมื่อหิว หยิบนมมาดื่มสักแก้วก็อยู่ท้อง แล้ว หรือวันไหนเกิดอาการปวดกระเพาะขึ้นมาก็ยังนำนมไปอุ่นดื่มได้ นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปปรุงอาหารได้หลายอย่าง ไม่ว่าเมนูเบสิกอย่างการกินกับซีเรียล เรื่อยไปถึงต้มยำน้ำข้น เลือกชนิดที่ไร้ไขมันก็ไม่มีใครว่าเพราะยังได้ควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เพราะนี่ล่ะแหล่งวิตามินดีและแคลเซียมเชียวนะ

      3. ธัญพืช ของ ขบเคี้ยวตระกูลถั่วนี่ล่ะ ที่ช่วยให้ช่วงเวลาระหว่างมื้อถูกเติมเต็มได้ เพราะแค่หยิบมากินตอนท้องว่างก็ทำให้อยู่ท้อง (หรือจะตบนมหรือนมถั่วเหลืองร้อนตามอีกสักแก้ว) เพราะอุดมด้วยโปรตีน นอกจากนี้ ยังสามารถนำไปโรยในจานซีเรียล ข้าวโอ๊ต โยเกิร์ต ฯลฯ ก็ยิ่งทำให้อร่อยยิ่งขึ้น การเก็บในตู้เย็นยังช่วยลดกลิ่นหืนและการเกิดเชื้อต่างๆ ได้ด้วย

      4. ขนมปังโฮลวีต มี เนื้อ มีโปรตีนแล้วก็ต้องมีแป้งติดไว้บ้าง ยิ่งเป็นแป้งแบบขนมปังโฮลวีตด้วยแล้ว จะยิ่งช่วยให้เราได้คุณค่าอาหารครบถ้วนขึ้น สามารถเอามาดัดแปลงเมนูง่ายๆ ได้เยอะแยะ ไม่ว่าปิ้งกินกับไข่ดาวสักแผ่นในช่วงเช้า ทำแซนด์วิชในวันที่หิวตาลาย หรือจะเอามาป่นแล้วชุบกับเนื้อสัตว์ก่อนทอด ก็ยิ่งทำให้มีสีสันน่ากินมากขึ้น ที่สำคัญไม่ต้องกลัวอ้วนด้วย

      5. มะนาว นี่ ล่ะอาหารชูรสภูมิปัญญาไทย เพราะไม่ใช่แค่การปรุงรสในอาหารให้ได้รสจี๊ดจ๊าด แต่ยังให้คุณค่าสารพัดประโยชน์ ไม่ว่าบีบใส่น้ำอุ่นดื่มตอนเช้าให้ถ่ายท้องง่าย ปรุงอาหารเมนูไทยให้ได้รสกลมกล่อม และยังครอบจักรวาลไปถึงงานบ้านได้ด้วย อย่างเช่น การบีบใส่คราบเหงื่อและน้ำมันชนิดต่างๆ บนเสื้อผ้าก็ช่วยให้ขจัดคราบได้ง่ายขึ้นแล้ว



ที่มา...Lisa

พุงใหญ่ VS สะโพกบาน แบบไหนอันตรายกว่า?



รูปร่าง

       คนเราไม่ว่าจะอ้วน-ผอม ก็มีไขมันสะสมต่างที่กัน สำหรับบางคน ไขมันจะตรงไปสะสมที่ต้นขาและสะโพก ในขณะที่บางคนเป็นพวกเอวหนาขาเล็ก จึงมีการแบ่งรูปร่าง ออกกว้าง ๆ เป็น "ทรงลูกแพร์" คือกลุ่มที่สะโพกใหญ่ กับ "ทรงแอปเปิ้ล" คือกลุ่มที่มีเอวใหญ่
       แน่นอนว่าตาชั่งไม่บอกคุณหรอกว่าไขมันในร่างกายกระจายไปยังส่วนไหนบ้าง การมีน้ำหนักเกินอาจจะทำให้คุณมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ แต่ตำแหน่งเฉพาะที่ของไขมันจะมีผลต่อสุขภาพ โดยรวมของคุณหรือเปล่า? แน่นอนมีการศึกษามากมายรวมทั้งที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสาร Occupation Medicine เมื่อเร็ว ๆ นี้ชี้ว่า รูปร่างแบบแอปเปิ้ลจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูงมากกว่าคนปกติ และในผู้ชายนั้นยังรวมไปถึงโรคหัวใจอีกด้วย

      สาวแพรหรือสาวแอปเปิ้ล

       หากคุณไม่มั่นใจว่าคุณเป็นสาวรูปร่างแพร์หรือแอปเปิ้ล เรามีวิธีที่จะดูได้ง่าย ๆ คือ

      1.วัดรอบเอว คือระดับสะดือและรอบสะโพกส่วนที่กว้างที่สุด (พยายามวัดกับผิวโดยตรง ไม่ใส่เสื้อผ้า และอย่ารัด) เพื่อความมั่นใจควรวัด 3 ครั้ง
      2.หาอัตราส่วน โดยนำค่าของรอบเอวหารรอบสะโพก

      คุณผู้ชาย หากผลลัพธ์ที่ได้น้อยกว่า 1 คุณเป็นหนุ่มรูปร่างแพร์ แต่ถ้าเท่ากับ 1 หรือมากกว่า คุณมีรูปร่างแบบแอปเปิ้ล
      คุณผู้หญิง หากผลลัพธ์ที่ได้เท่ากับ 0.8 หรือน้อยกว่า คุณมีรูปร่างแบบลูกแพร์ แต่ถ้ามากกว่า 0.8 (สำหรับผู้หญิง) มากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งมีความเสี่ยงกับโรคต่าง ๆ มากขึ้นเท่านั้น


     รู้จักกับไขมัน

       ไขมันมี 2 ชนิดใหญ่ ๆ นั่นคือ Subcutaneous Fat หมายถึงไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนัง และ Visceral Fat ซึ่งอยู่รอบ ๆ อวัยวะภายในของเรา

     เราสามารถเห็น Subcutaneous Fat ได้ง่าย ๆ เพราะมันเป็นไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังของเรานี่เอง แต่กับ Visceral Fat แล้ว เราจะมองไม่เห็นจากข้างนอก มันจะอยู่รอบ ๆ ลำไส้ ไต ตับอ่อน และตับ (บางครั้งอาจจะเข้าไปถึงข้างในตับเสียด้วยซ้ำ) เราทุกคนมีไขมันชนิดนี้ เพราะมันช่วยปกป้องอวัยวะภายในจากการกระแทก และช่วยสงวนความร้อนในร่างกาย แต่ในทางกลับกัน การมีไขมันชนิดนี้มากเกินไป ก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้มากมาย

      หลายคนคิดว่า ไขมันของเราเหมือนไขมันที่เห็นเวลากินสเต็ก แต่ความจริงคือ มันเป็นเนื้อเยื่อที่มีชีวิต เป็นเนื้อเยื่อที่ใช้พลังงาน และสร้างฮอร์โมนไปด้วยพร้อม ๆ กัน ไขมันเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะมันช่วยเก็บสะสมพลังงานของเราเอาไว้ และช่วยควบคุมการทำงานของร่างกายโดยการให้ และรับสารสื่อประสาทในระบบประสาทส่วนกลาง

        ในขณะที่ไขมันใต้ผิวหนังอาจจะน่ารำคาญ แต่ก็มักจะไม่มีอันตราย ในคนรูปร่างแพร์หรือมีไขมันสะสมที่สะโพก ต้นขา ไขมันเหล่านี้จะช่วยปกป้องเราจากโรค แม้เราจะลดมันเหล่านี้ได้ยากก็ตาม แม้ในปัจจุบันก็ยังมีการศึกษาว่า ทำไมไขมันเหล่านี้ จึงปกป้องเราได้ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า มันช่วยส่งพลังงานเฉพาะเวลาที่เราตั้งครรภ์ ให้นมบุตร หรือว่าหิวจัดเท่านั้น

      ตรงกันข้าม การมีไขมัน Visceral Fat ส่วนเกินก็อาจจะเป็นอันตรายได้ เพราะมันจะลดการตอบสนองต่ออินซูลินของเรา เพิ่มความเสี่ยงทำให้เป็นเบาหวาน เพิ่มระดับไตรกลีเซอไรด์ ลดคอเลสเตอรอล "ดี" หรือ HDL ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากขึ้น และเพิ่มความดันโลหิต ทั้งหมดนี้จะเพิ่มความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ และมันยังปล่อยกรดไขมันอิสระเข้าไปในกระแสเลือด จึงทำให้โอกาสเป็นทั้งสองโรคที่กล่าวมาแล้วยิ่งสูงขึ้นไปอีก

      ไขมันใต้เอวก็ยังต้องใส่ใจนะ

       เพราะเซลล์ไขมันทั่วร่างกายนั้นจะตอบสนองกับอินซูลิน หากไขมันนั้นสะสมที่ไหนก็ตาม ซึ่งการมีอินซูลินมากเกินไปก็อาจจะเป็นสาเหตุ และเมื่อเวลาผ่านไปภาวะต้านอินซูลินก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ ทำให้คนที่มีไขมันสะสมใต้เอวเริ่มลงพุง และก็จะประสบกับปัญหาสุขภาพเหมือนกับคนที่มีรูปร่างแบบแอปเปิ้ลได้เหมือนกัน

      อ้วนลงพุง ลดได้ถ้าคุณพยายาม

      พญ.อยุทธินี สิงหโกวินท์ แพทย์หัวหน้าศูนย์เบาหวานและต่อมไร้ท่อ ร.พ.พญาไท 2

     พุงใหญ่อันตรายกว่าสะโพกบานอย่างไร

      แน่นอนว่าคนอ้วนส่วนใหญ่มักจะอ้วนทั้งตัว โดยมีไขมันตาม ต้นแขน ต้นขา และหน้าท้อง แต่ตำแหน่งพวกนี้ไม่ได้ทำให้เกิดโรค เขาพบว่าในคนที่มีไขมันอยู่ในท้องหรือ Visceral Fat มาก ๆ จะสัมพันธ์กับอัตราการตายหรืออัตราการเกิดโรคมากกว่าไขมันที่ตำแหน่งอื่น เพราะฉะนั้นในคนที่กินแล้วไม่ได้ออกกำลัง นั่ง นอน หรือดื่มเหล้า คนพวกนี้จะอ้วนลงพุง เราพบว่าในคนที่อ้วนทั้งตัว แต่ท้องไม่ได้อ้วนมาก ยังมีอันตราการเกิดโรคหัวใจ หรืออัตราการตายน้อยกว่าคนที่ผอม ๆ แต่อ้วนลงพุงเสียอีกค่ะ

     จะลดไขมันในท้องได้อย่างไร

       ง่ายมากค่ะ การทำกายบริหารช่วยได้ทั้งหมด กินแล้วอย่านั่งหรือนอน กินแล้วต้องออกกำลังบ้างเท่านั้นเอง สิ่งที่เราทราบกันดีอยู่แล้วคือหลีกเลี่ยงอาหารหวาน อาหารทอด หรืออาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง แต่หันมาเน้นพวกผักแทน

     ทรีตเมนต์ต่าง ๆ ลดไขมันส่วนนี้ได้รึเปล่า?

        ไม่ได้ค่ะ เพราะ Visceral Fat อยู่ในท้องและอยู่ติดกับอวัยวะภายในทั้งหลาย ซึ่งเราดูดไม่ได้ และทำทรีตเมนต์ไม่ได้ ตรงข้ามกับไขมันใต้ผิวหนังอย่างปีกแขน ท้องแขน ต้นขา หน้าท้อง พวกนั้นสามารถใช้ทรีตเมนต์ลดเฉพาะบริเวณ หรือการออกกำลังที่เน้นส่วนนั้นโดยเฉพาะเลยก็ได้ค่ะ





ที่มา... Lisa

เจ็บคอ อย่าซื้อยามากินเอง


เป็นหวัด


       โรคหวัดเกิดจาก เชื้อไวรัส แต่ยาปฏิชีวนะใช้รักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น พร้อมแนะ วิธีการเบื้องต้นใน แยกแยะระหว่างอาการเจ็บคอ ที่เกิดจากเชื้อไวรัส กับอาการเจ็บคอ ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย

      ในช่วงนี้สภาพ อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย อาจส่งผลให้ต่อสุขภาพ เจ็บป่วยเป็นหวัด ได้ง่าย โดยจะมีอาการ เจ็บคอ น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย และเมื่อมีอาการเหล่านี้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าจะต้องกินยาปฏิชีวนะ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง ประชาชนควรมีความรู้ก่อนว่าอาการหวัด เจ็บคอ ที่เป็นนั้นมีสาเหตุจากอะไร เนื่องจากส่วนใหญ่ของหวัด เจ็บคอ (ร้อยละ 80) มักเกิดจากเชื้อไวรัส ไม่ต้องกินยาปฏิชีวนะ มีเพียงส่วนน้อย (ร้อยละ 20) ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย และอาจจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ หากประชาชนไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ และกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งที่เป็นหวัดเจ็บคอ

      วิธีการเบื้องต้นในการแยกแยะระหว่างการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย

      หากเป็นหวัด เจ็บคอ จากเชื้อไวรัส มักมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ มีเสมหะ เสียงแหบ คันคอ เจ็บคอ หรืออาจมีไข้ร่วมด้วย อาจนาน ประมาณ 7-14 วัน อาการจะมากสุดในช่วงวันที่ 3–5 หลังจากนั้นอาการโดยรวมจะค่อยๆ ดีขึ้น น้ำมูกจะน้อยลง และข้นขึ้นบางทีอาจมีสีออกเหลืองโดยเฉพาะช่วงเช้า แต่อาการไออาจอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ งานวิจัยชี้ชัดว่า ยาปฏิชีวนะไม่ช่วยให้อาการไอและหวัดหายเร็วขึ้นแต่อย่างใด การรักษาที่ดีที่สุด คือ การพักผ่อนและดื่มน้ำอุ่น เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานมาต่อสู้กับเชื้อไวรัส และอาจปรึกษาเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาเพื่อบรรเทา อาการหวัด ไอ คัดจมูก หรือเจ็บคอ

      อาการเจ็บคอ ที่อาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งพบน้อย) มักมีอาการอย่างน้อย 3 ใน 4 ข้อนี้ ร่วมกัน คือ (1) ไม่ไอ (2) มีไข้ (3) ต่อมทอนซิลมีจุดขาวหรือเป็นหนอง (4) ต่อมน้ำเหลืองใต้ขากรรไกรโตกดเจ็บ ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสำรวจต่อมน้ำเหลืองของตนเองโดยการคลำบริเวณใต้ขากรรไกรเพื่อดูว่าต่อม น้ำเหลืองบริเวณนี้โตหรือกดเจ็บหรือไม่ และสามารถดูต่อมทอนซิลของตนเองโดยการอ้าปากและส่องกระจกดู ที่ต่อมทอนซิลว่ามีจุดขาวหรือเป็นหนองหรือไม่ หากมีอาการ 3 ใน 4 ข้อ หรือมีอาการครบทั้ง 4 ข้อดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องต่อไป

       ก่อนกินยาปฏิชีวนะทุกครั้งต้องมั่นใจว่าโรคที่เป็นมีสาเหตุจาก เชื้อแบคทีเรีย ไม่ควรกินยาปฏิชีวนะโดยไม่รู้ว่าป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือไม่ โดยสอบถามแพทย์หรือ เภสัชกรซ้ำทุกครั้งเพื่อความมั่นใจ และขอเตือนประชาชนอย่าซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง อย่าใช้ยา ปฏิชีวนะ ตามที่ คนอื่นแนะนำ และอย่าแบ่งยาปฏิชีวนะของตนเองให้แก่ผู้อื่น เพราะเราไม่รู้ว่าเขาจำเป็นต้องใช้ยา ปฏิชีวนะหรือไม่ เนื่องจากยาปฏิชีวนะมีหลายชนิด เช่น เพนนิซิลลิน อะม็อกซิซิลลิน เตตร้าซัยคลิน อิริทโทร มัยซิน โคทรัยม็อกซาโซล เป็นต้น และแต่ละชนิดใช้กับเชื้อแบคทีเรียต่างกัน และที่สำคัญ เราไม่รู้ว่าเขาแพ้ยาหรือไม่ หรือมีโรคประจำตัวอะไร
                                         



ที่มา...สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

การดูแลมดลูกให้แข็งแรง


การดูแลมดลูกให้แข็งแรง

       สมัยนี้สุขภาพร่างกายของคนเรานั้นสำคัญ “มดลูก” ถือว่าเป็นอวัยวะที่สำคัญของผู้หญิง ดังนั้น เราอย่ามองข้ามการดูแลมดลูกให้แข็งแรง งั้นเรามารู้เคล็ดลับการดูแลมดลูกให้แข็งแรงกันดีกว่าค่ะ

       มดลูกคืออวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย หากร่างกายแข็งแรง โลหิตจะไหลเวียนไปเลี้ยงได้เต็มที่ ทำให้มดลูกแข็งแรง การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง เช่น การดูแลน้ำหนักตัวให้ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ไม่ผอมหรืออ้วนจนเกินไป การนอนหลับให้เพียงพอ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะผักและผลไม้ ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก่ว และงดการดื่มเหล้า สูบบุหรี่

ดูแลสุขภาพใจให้แข็งแรง

      ความเครียดทำให้มดลูกไม่ปกติ เพราะระบบฮอร์โมนผิดปกติ ประจำเดือนจึงมาไม่ปกติ การลดความเครียดมีหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น รู้จักปลงตก มองโลกในแง่บวก หัวเราะทุกวัน ใช้ชีวิตพอเพียง ประหยัด พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ให้อภัยผู้อื่น มีจุดมุ่งหมายในชีวิต

ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

      ทำให้ภูมิต้านทานดี กล้ามเนื้อหัวใจและปอดแข็งแรง สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกายได้ดี ช่วยป้องกันมดลูกอักเสบและมดลูกต่ำ ควรออกกำลังกายเป็นประจำ เช่น ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ จ๊อกกิ้ง เต้นแอโรบิก โยคะ เป็นต้น อย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน ครั้งและประมาณครึ่งชั่วโมง

ระวังการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

       โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทำให้เกิดอาการตกขาว ปวดท้องน้อย มีไข้ มดลูกอักเสบ แม้รักษาหายก็ยังมีอาการปวดมดลูก ปวดประจำเดือน มีตกขาวเรื้อรัง ไข้ทับระดู ไม่ตั้งครรภ์ หรือตั้งครรภ์นอกมดลูก การหลีกเลี่ยงการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จึงเป็นสิ่งสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้มดลูกดี ดังนั้นควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับคนที่ไม่รู้จักไม่รู้ใจหรือไม่แน่ใจ

ขมิบเพื่อบริหารอุ้มเชิงกรานอย่างสม่ำเสมอ

      การขมิบคือ การเกร็งกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน (เหมือนการกลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ) วิธีการคือ ให้เกร็งค้างไว้ นับ 1 – 5 แล้วผ่อนคลาย อาจทำต่อเนื่องกันหรือแบ่งเป็นครั้งละ 20 – 30 ชุดก็ได้ จะทำให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานแข็งแรง และมดลูกไม่ต่ำ

ไม่ยกของหนัก

      การยกของหนักทำให้มดลูกต่ำ กระเพราะปัสสาวะกระทบกระเทือน หากจำเป็นต้องยกของหนักควรปัสสาวะก่อน

ตรวจร่างกายและตรวจภายในเป็นประจำ

      แม้ว่าเราจะแข็งแรง ก็ควรตรวจสุขภาพร่างกายเป็นประจำ เพื่อค้นหาโรคในระยะเริ่มแรก โรคภัยไข้เจ็บมีผลต่อมดลูกไม่มากก็น้อย เช่น โรคเบาหวาน อาจทำให้มดลูกอักเสบ ติดเชื้อ เป็นเชื้อรา และโรคเรื้อรังอื่นๆ อย่างความดันโลหิดสูง โรคไทรอยด์ โรคตับ โรคไต อาจทำให้มีการตกเลือด ประจำเดือนมามากหรือกะปริบกะปรอย รวมไปถึงการตรวจภายใน โดยตรวจวินิจฉัยและรักษาการอักเสบ ติดเชื้อในช่องคลอด ปากมดลูก จนทำให้มดลูกไม่ดีได้ ทั้งยังสามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการผิดปกติของมดลูกได้แต่เนิ่นๆ เช่น เนื้องอกธรรมดาของโพรงมดลูก เนื้องอกธรรมดาของมดลูก และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ก่อนลงเอยด้วยการตัดมดลูก

ไม่กินสมุนไพร ยาสตรี หรืออาหารเสริมที่มีฮอร์โมนเพศหญิงเป็นประจำ โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์

      เนื่องจากมดลูกเป็นอวัยวะภายในสตรีที่ไวต่อฮอร์โมนมาก การกินฮอร์โมนเพศหญิง จึงเป็นการเพิ่มการอักเสบของมดลูก ทำให้มดลูกโต เนื้องอก มดลูกขยายขนาด และเกิดโรคมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของมดลูกไม่ดี อาจทำให้ไม่สามารถมีลูกได้ และอาจต้องตัดมดลูก






ที่มา... WomanPlus

หยุดแก่ไว้แค่อายุ 30 ด้วยการรีเซตลิ้น




       การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยชราตั้งแต่ตอนที่ยังอยู่ในวัยกลางคน เป็นสิ่งที่พูดกันมากขึ้นในโลกยุคปัจจุบัน เพราะคนในยุคต่อไป ไม่ว่าจะอายุเท่าใดต่างก็ต้องเผชิญกับการบีบคั้นของสังคมมากขึ้น และการจะเตรียมตัวเองให้พร้อมสำหรับก้าวสู่โลกแบบนั้นก็เป็นสิ่งที่ต้องวางแผนแต่เนิ่น ๆ

      แต่ทว่า…ความชรา ก็ชะลอไว้ก่อนก็ได้ ถ้ารู้จักดูแลร่างกายของเราเอง

       มีหลายคนนักที่มักมีพฤติกรรมแบบที่ว่า…ทุกครั้งที่กินก๋วยเตี๋ยวชอบปรุงเพิ่มแบบจัดหนัก หรือกินอาหารคาวก็มักขาดน้ำจิ้มไม่ได้ กินไม้ผลไม้ต้องจิ้มพริกเกลือหรือน้ำปลาหวานตลอด ซึ่งจะบอกว่าพฤติกรรมเหล่านี้นี่ล่ะที่จะสร้างความเสื่อมถอยให้กับร่างกายตนเองอย่างมาก

      1. ออกห่างจากอาหารจัดจ้าน และอนุญาตให้อาหารจืดผ่านสู่ลิ้นเท่านั้น

      2. วางเป้าหมายที่ชัดเจนว่า ถ้าอยากมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ไปนาน ๆ ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเท่านั้น

      3. งดอาหารแปรรูปทั้งหลาย อย่างเช่น อาหารกระป๋อง หมูหยอง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป กุนเชียง ไส้กรอก แหนม ปลาเค็ม ไข่เค็ม เป็นต้น เพราะอาหารเหล่านี้ล้วนมีน้ำตาลและโซเดียมในปริมาณที่สูงมาก คุณต้องเลี่ยงให้ไกล แต่หากจำเป็นต้องกินก็กินให้น้อยเข้าไว้

      4. ซาลาเปา ขนมหวาน ขนมปัง เบเกอรี่หน้าตาดีทั้งหลาย หยุดได้ควรหยุด จะช่วยให้หุ่นเพรียว สุขภาพดี หน้าตาอ่อนเยาว์ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

      5. พยายามทำอาหารการกินเองที่บ้าน เพราะสามารถควบคุมคุณภาพและรสชาติอาหารให้จืดตรงกับที่เราต้องการได้

      6. ลดเครื่องปรุงทุกชนิดครึ่งหนึ่ง ในการปรุงอาหาร ตั้งแต่น้ำมัน น้ำปลา กะปิ ปลาร้า เต้าเจี้ยว ซีอิ๊ว ซอส น้ำตาล ซึ่งเมื่อชินกับรสชาติที่ลดลงมาแล้ว ก็ให้ลดลงอีกครึ่งหนึ่ง

      7. ใช้เครื่องชูรสจากธรรมชาติ ตามแบบฉบับคนสมัยก่อน เช่น ใช้มะนาว มะขาม ส้ม ในการเพิ่มรสเปรี้ยว หรือใช้หัวหอม แครอท พืชผักในการเพิ่มรสหวาน รสเค็มก็ใช้เกลือ แต่ไม่ต้องใส่มาก

      8. เลิกนิสัยเติมเครื่องปรุงแบบจัดเต็ม พยายามปรุงแต่น้อย หรือไม่ปรุงเลยยิ่งดี

      9. ดูฉลากเสมอ ก่อนตัดสินใจซื้ออาหารใด ๆ โดยดูปริมาณน้ำตาล และโซเดียมต่อหน่วยก่อนเสมอ

อาหารแย่ๆ แต่ก็ใช่จะไร้ประโยชน์นะ




       มีความเชื่อเกี่ยวกับอาหารบางประเภท ที่ว่าไม่ดีกับสุขภาพ โดยเหมารวมเอาข้อเสียเล็กน้อยแล้วมองข้ามประโยชน์ที่มีมากกว่าไป เรามาลองดูคุณค่าของอาหารเหล่านี้กันใหม่

   1. ไข่ไก่

      เชื่อว่า การกินไข่ทุกวันไม่ดีเพราะมีคอเลส-เตอรอล และไข่แดงยิ่งเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้ที่ดูแลสุขภาพ

      ความจริงแล้ว ไขมันและไขมันอิ่มตัวเป็นสาเหตุใหญ่ในการเพิ่มคอเลสเตอรอลในเลือดมากกว่าคอเลสเตอรอลที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ และไข่แดงยังมี Lutein และ Zeaxanthin ที่การวิจัยพบว่าสามารถลดความเสี่ยงภาวะจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตาบอดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี

  2. เนื้อวัว

      เชื่อว่า เนื้อวัวอุดมไปด้วยไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอ-รอล เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจ

      ความจริงแล้ว เนื้อแดงของเนื้อวัวนั้นเป็นแหล่งของโปรตีนและธาตุเหล็ก แร่ธาตุที่จำเป็นสำหรับการลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงที่สูญเสียธาตุเหล็กจากคลอดบุตร ลองเลือกเนื้อที่มีสีแดงเข้ม มีลายหินอ่อนเล็กน้อยก็จะเป็นเนื้อส่วนดีที่มีไขมันน้อย

  3. ช็อกโกแลต

      เชื่อว่า ช็อกโกแลตขึ้นชื่อเรื่องน้ำตาลสูง ไขมันก็สูง และรสชาติหวานมันย่อมไม่ดีกับคุณแน่ๆ

      ความจริงแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นมีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยป้องกันเส้นเลือดตีบ และเมื่อเร็วๆ นี้นักวิจัยในสวิตเซอร์แลนด์รายงานว่าการกินดาร์กช็อกโกแลต 40 ออนซ์ ทุกวันเป็นเวลาสองสัปดาห์ ช่วยทำให้ฮอร์โมนความเครียดลดลง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงกินมากแล้วจะเครียดน้อยลง ยังไงก็ควรกินแต่น้อยไม่งั้นจะพานเครียดกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแทน

  4. มันฝรั่ง

      เชื่อว่า มันฝรั่งมีค่าดัชนีน้ำตาลค่อนข้างสูง จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเส้นเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วยังเข้าไปขัดขวางการทำงานของอินซูลินที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลด้วย

      ความจริงแล้ว มันฝรั่งเป็นแหล่งของเส้นใย โพแทสเซียม และวิตามินซีชั้นดี ต่อให้กินมันฝรั่งทั้งผลก็ไม่มีผลต่อค่าดัชนีน้ำตาลมากนัก ถ้าคุณเพิ่มน้ำมันมะกอกลงไปเล็กน้อย เพราะไขมันจะช่วยชะลอการดูดซึมของคาร์โบไฮเดรตในมันฝรั่ง

  5. ขนมปังขาว

      เชื่อว่า ขนมปังแป้งแผ่นที่เต็มไปด้วยคาร์โบไฮเดรต

      ความจริงแล้ว ขนมปังขัดขาวไม่ได้แย่เสมอไป แนวทางใหม่ในการบริโภคอาหารสำหรับชาวอเมริกันแนะนำให้กินขนมปังขัดขาวอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของธัญพืชที่กิน สลับกับขนมปังโฮลวีต 100% หรือขนมปังธัญพืชไม่ขัดสีอื่นๆซึ่งเป็นวิธีในการกินขนมปังให้ดีต่อสุขภาพ

สุขภาพคุณเป็นยังไง...ผิวบอกได้นะ




       อวัยวะที่ใหญ่ที่สุดของร่างกายคุณอย่างผิวหนังสามารถบอกล่วงหน้าถึงโรคร้ายทิ้งหลายได้ก่อนเป็นเวลาหลาย ๆ เดือน ก่อนที่คุณจะสังเกตเห็นมันซะอีก มาดูกันว่าสิวที่ผุดขึ้นมานั้นจะเป็นแค่สิวธรรมดา หรือเป็นอะไรที่มากกว่านั้น

      สิ่งที่โรคผิวหนัง เบาหวาน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองและธัยรอยด์มีเหมือนกันก็คืออะไร หากคุณรู้ว่าต้องมองหาอะไรคุณก็จะพบมันที่ผิวหนัง ซึ่งบางทีกว่าคุณจะพบต้นตอมันก็กลายเป็นมะเร็งไปแล้ว

      "หากดวงตาเป็นหน้าต่างสู่จิตวิญญาณ ผิวหนังก็ถือเป็นกระจกสะท้อนสุขภาพของคุณเช่นกัน" นพ.เคนเนธ เบียร์ แพทย์ผิวหนังจากปาล์มบีช ฟลอริด้า กล่าว "มันเกี่ยวข้องกับอวัยวะส่วนต่าง ๆ ตั้งแต่ตับไปจนถึงต่อมธัยรอยด์ และส่วนอื่น ๆ ทั้งหมด และยังแสดงถึงการทำงานของระบบภายในร่างกายว่าเป็นไปได้ดีแค่ไหน"

      โดยทั่วไปคุณต้องคอยสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและหาสาเหตุไม่ได้ และควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อตรวจสอบจุดที่คุณสงสัย หากคุณต้องการแนวทางเพิ่ม ก็อ่านต่อไปว่าเมื่อไหร่ที่คุณควรต้องไปหาหมอ หรือแค่รีบคว้าคอนซีลเลอร์มาใช้ก็พอ

สัญญาณเตือน : ผิวฉันแดงไปหมด

      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ : ถ้าคุณหน้าแดงด้วยฤทธิ์ของไวน์แดงอาหารรสเผ็ด หรือไนอาซิน (ที่พบในเนื้อไก่ ถั่ว ตับ และยาบางชนิด) คุณสามารถเปลี่ยนเป็นดื่มไวน์ขาวแทน หรือใช้ยาแก้ภูมิแพ้จากที่หมอแนะนำ และลดผิวแดง ๆ ด้วยเซรั่มที่มีสารสกัดจากชาเชียว

      ควรพบหมอ : ถ้าหน้าหรือผิวแดงขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของเนื้องอกหายากชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Carnicoid ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนบนร่างกาย ไม่ใช่แค่เพียงจุดที่เกิดรอยแดงขึ้นมา หากพบสาเหตุได้เร็วขึ้นก็จะเป็นการช่วยชีวิตคุณไว้ได้ นพ.โรเบิร์ต เจ. ฟรีดแมน ศาสตราจารย์แพทย์ด้านผิวหนังของโรงเรียนแพทย์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก บอกเช่นนั้น

สัญญาณเตือน : สิวผุดขึ้นบนหน้าฉัน

      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ : ถ้าคุณมีสิวแปลก ๆ ขึ้นสักเม็ดหรือสองเม็ด และสามารถจัดการได้ด้วยผลิตภัณฑ์จากร้านขายยา ในกรณีนี้คุณก็สามารถโทษสาเหตุปกติอย่างแบคทีเรียหรือต่อมไขมันที่ทำงานมากเกินไปได้

      ควรพบหมอ : ถ้าสิวเกิดขึ้นซ้ำซากในช่วงที่มีประจำเดือนและประจำเดือนมาผิดปกติ น้ำหนักขึ้นแบบไม่มีสาเหตุ และมีขนที่ดูผิดปกติขึ้นบนหน้าอกหรือใบหน้า ทั้งหมดนี้อาจบ่งชี้ได้ถึงความไม่สมดุลของฮอร์โมนร่างกายได้ ซึ่งคุณควรไปปรึกษาแพทย์

สัญญาณเตือน : แผลของฉันหายช้ามาก

      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ : ถ้ารอยแผลของคุณดูมีลักษณะปกติ แค่เช็ดด้วยยาใส่แผลและปิดพลาสเตอร์ตามปกติจนกว่าแผลจะหายไป

      ควรพบหมอ : ถ้าบาดแผลใช้เวลามากกว่า 1-2 สัปดาห์ถึงจะหายเป็นปกติ นั่นคือสัญญาณที่เป็นไปได้ของอาการติดเชื้อ หรือมีการไหลเวียนเลือดน้อยในบริเวณนั้น และถ้าเป็นรอยขีดข่วนเล็กน้อยที่ไม่หายสักที โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณน้ำหนักเกินและมีรอยช้ำสีเข้ม ๆ ผิวย่น ๆ ในรอยพับของผิวหนัง หรือรู้สึกหิวน้ำบ่อย ๆ และปัสสาวะมากขึ้น ควรพบหมอประจำตัวเพื่อตรวจวัดระดับน้ำตาล เพราะอาการเหล่านี้คือ สัญญาณแรกเริ่มของเบาหวานทั้ง 2 ชนิด

สัญญาณเตือน : ผิวฉันแห้งและแสบคัน

      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ : ถ้ามันหายไปเมื่อคุณทามอยสเจอไรเซอร์ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก หรือเมื่อคุณใช้ครีมคอร์ติซอล และเพิ่มกรดไขมันโอเมก้า-3 ในอาหารจากแซลมอนและวอลนัต

      ควรพบหมอ : ถ้าคุณไม่สามารถบ่งชี้ถึงสาเหตุ และอาการนี้เกิดขึ้นนานกว่า 2 สัปดาห์ "อาการระคายเคืองอาจเกิดจากของเสียที่ก่อตัวอยู่ในร่างกายคุณ เมื่อตับและไตของคุณทำงานได้ไม่ดีนัก"

      พญ.เจสสิก้า วู แพทย์ผิวหนังจากโรงเรียนแพทย์ USC กล่าวว่า "ผิวแห้งอาจเกี่ยวข้องกับอาการของธัยรอยด์ หากคุณมีผิวแห้งและระคายเคือง ร่วมกับขนหลุดร่วง (รวมทั้งขนตาและขนคิ้ว) และอาการเซื่องซึม ควรรีบไปหาหมอเพื่อตรวจเลือดเช็กธัยรอยด์" และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ก็เป็นสาเหตุของอาการแสบคันเช่นกันแม้ว่าจะพบได้ยาก

สัญญาณเตือน : ฉันมีผดผื่นขึ้น

      ไม่ใช่เรื่องใหญ่ : ถ้าคุณคิดว่าผื่นเกิดจากการระคายเคืองอะไรสักอย่าง หรือถ้าครีมคอร์ติซอลสามารถทำให้มันหายไปได้ และถ้ารอยผื่นนั้น ไม่ได้มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ หรือตาของวัวกระทิง

      ควรพบหมอ : ถ้ารอยผื่นนั้นไม่หายไปภายในเวลา 2-3 วัน เพราะมันอาจเป็นกลาก หรืออาจแพ้ยาก็ได้ หากรอยแดงเกิดขึ้นที่น่องและเลือดคุณไหลเวียนไม่ค่อยดี อาจเป็นภาวะหนึ่งของอาการจากโรคหัวใจ และถ้ามีส่วนไหนของร่างกายมีผื่นคล้ายดวงตาของวัวกระทิง นพ.เบียร์ แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจหา Lyme Disease (โรคผิวหนังจากการถูกเห็บที่มีเชื้อโรคชนิดหนึ่งกัด) ซึ่งรักษาได้ด้วยยาฆ่าเชื้อ

      หากเป็นผื่นบนหน้าอาจจะเป็นอาการของ Rosacea (โรคผิวหนังที่ทำให้เกิดผื่นแดง) ซึ่งไม่มีอันตรายอะไร แต่ นพ.ฟรีดแมนเตือนว่า บางครั้งมันอาจเป็นสัญญาณของโรคแพ้ภูมิตัวเอง โดยเฉพาะถ้าผื่นมีรูปร่างคล้ายผีเสื้อแล้ว ขึ้นที่จมูกและแก้ม หากคุณกังวลก็ควรไปปรึกษาแพทย์

แค่สระผมให้ถูกต้องคุณก็มีสุขภาพผมสวยได้




       อยากมีผมสวยกันมั้ยคะสาวๆ ถ้าใช่.. วันนี้เรามีวิธีทำให้ผมสวยสุขภาพดีในแบบง่ายแสนง่าย นั่นก็คือ การสระผมอย่างถูกต้องนั่นเอง 

      1. หวีผมด้วยหวีซี่ห่างตั้งแต่โคนจรดปลายเพื่อขจัดสิ่งสกปรกให้หลุดออกจากเส้นผมและหนังศีรษะ และจะได้แก้ปัญหาผมที่พันกันไม่ให้ยิ่งจับตัวพันกันยุ่งเหยิงมากขึ้น

      2. ก่อนสระผมจะต้องล้างผมด้วยน้ำสะอาดเพื่อขจัดสิ่งสกปรกออกก่อน

      3. เทแชมพูลงบนฝ่ามือแล้วชโลมลงบนเส้นผมบริเวณกึ่งกลางผมหรือเริ่มสาวตั้งแต่ส่วนปลายขึ้นมา ไม่แนะนำให้เทแชมพูแล้วโปะวางกลางศีรษะหรือเทใส่หนังศีรษะโดยตรง เพราะจะยิ่งทำให้หนังศีรษะมันและยากต่อการล้างออกให้สะอาดได้ง่าย

      4. หลังจากสระด้วยแชมพูเสร็จแล้ว ควรชโลมด้วยครีมนวดผมต่อไปค่ะ แล้วหมักทิ้งไว้ 2-3 นาทีจึงค่อยล้างออกให้สะอาด

      5. หลังจากล้างผมให้สะอาดแล้วควรบีบปลายผมเพื่อไล่น้ำออกจนหมด จากนั้นซับผมให้ทั่วจนแห้งหมาดด้วยผ้าขนหนูผืนนุ่ม ไม่ควรขยี้ผมแรงๆ ด้วยผ้า ไม่เช่นนั้น เส้นผมจะขาดหลุดร่วงได้และยังนำปัญหาผมแห้งกรอบมาสู่เส้นผมได้ด้วย

      6. ก่อนไดร์ผมหรือเป่าผมให้แห้ง แนะนำให้ใส่เซรั่มบำรุงก่อน โดยเฉพาะสาวที่มีปัญหาผมแห้งเสียหรือผมแตกปลาย หากคุณทำผมด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้าต่อจากนี้ ยิ่งควรใส่เซรั่มป้องกันความร้อนและจะได้ช่วยเคลือบถนอมผมด้วยวิตามินบำรุงให้เส้นผมชุ่มชื้นขึ้น

      7. หวีผมด้วยหวีซี่ห่างเท่านั้นและหวีอย่างเบามือ จากนั้นไดร์ผมโดยเป่าผมห่างจากหนังศรีษะ ไม่ควรจ่อไดร์ชนิดใกล้กับผมมากเพื่อป้องกันสภาพผมแห้งฟูมากขึ้น แต่หากสาวๆ ไม่ได้รีบร้อนออกจากบ้านไปไหนก็อาจจะปล่อยให้ผมแห้งเองตามธรรมชาติหรือใช้ไดร์เป่าแบบเย็นหรือจะนั่งเป่าด้วยพัดลมแทนก็ได้

      เป็นอย่างไรกันบ้างคะสาวๆ สำหรับขั้นตอนการสระผมอย่างถูกต้องที่เรานำมาฝาก ไม่ยากวุ่นวายกันเลยใช่มั้ยคะ สำหรับสาวคนไหนที่มีปัญหาผมแห้งเสียมากและมีผมแตกปลายให้กังวลใจอีกด้วย ก่อนสระผมอาจจะหมักผมด้วยน้ำมันมะกอกหรือชโลมด้วยน้ำมันมะพร้าวทิ้งไว้ก่อน โดยเน้นบริเวณปลายให้มากๆ หมักทิ้งไว้เช่นนั้นสัก 5-10 นาทีก่อนสระ สูตรนี้สามารถทำได้ทุกครั้งเลยค่ะ รับรองมันจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้สุขภาพผมแข็งแรงมากขึ้น

       พร้อมกันนี้ อย่าลืมนวดหนังศีรษะด้วยปลายนิ้วพร้อมกันหรือนวดตอนสระก็ได้ รากผมจะได้แข็งแรง เพิ่มการผ่อนคลายให้ตัวคุณและกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดทำให้สารอาหารไปบำรุงรากผมและคุณก็จะมีผมสวยสุขภาพดีได้ดั่งใจ

ปั่นจักรยานถูกวิธี ช่วยให้ขาเรียวขึ้นได้นะ

ปั่นจักรยานถูกวิธี ช่วยให้ขาเรียวขึ้นได้นะ


       คุณรู้หรือไม่ว่า…นักปั่นจักรยานอาชีพเผาผลาญพลังงานได้มากถึง 5,000 แคลอรี่ หรือเท่ากับการทานข้าวมันไก่ประมาณ 10 จานต่อการแข่งระยะทาง 200 กิโลเมตร !

       แล้วสำหรับตอนนี้กระแสจักรยานก็กำลังมาแรงอยู่ หากว่าสาว ๆ คนไหนกำลังลังเลว่าจะปั่นจักรยานดีไหม หรือจะปั่นแล้วน่องโตแทนที่หรือเปล่า อันนี้ต้องอยู่ที่การปรับอุปกรณ์ของจักรยานให้เข้ากับตัวเอง แล้วก็ปั่นในระยะทางที่ได้ กับกำลังขาที่พอเหมาะด้วยล่ะค่ะ

      หลายคำแนะนำกับหลายกูรูเรื่องการปั่น แต่สำหรับนักปั่นหน้าใหม่ จะลองปั่นวันละ 2 ชั่วโมง ก่อนก็ได้ ปั่นเบา ๆ ไม่ใช้แรงมาก เพราะแรงขายังไม่พร้อมในตอนแรก ๆ และไม่ต้องสนใจระยะทางมากนัก ให้ทำเวลาได้ก่อนพอทำได้แล้วก็ค่อยเพิ่มแรง เพิ่มเวลา และเพิ่มระยะทาง

      แต่มีเทคนิคนิดนึงก่อนจะขึ้นบนเจ้าสองล้อ ทุกครั้งให้วอร์มร่างกายด้วยจักรยานร่างกายประมาณ 5-10 นาที แล้วปั่นช้า 10 วินาที สลับกับปั่นเร็ว 20 วินาที ทำสลับไปมาครบ 8 รอบ แล้วผ่อนเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ปกติอีก 5 นาที เพื่อช่วยให้มีแรงในการปั่นต่อได้นานตามเวลาที่ต้องการ สุขภาพดีแถมยังทำให้ขาเรียวขึ้นด้วย